กระชาย เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าหรือลำต้นอยู่ใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะเรียว ยาวอวบน้ำ ตรงกลางเหง้าจะพองคล้ายกระสวย ออกเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุก มีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแกมส้ม เนื้อข้างในเป็นสีเหลืองมีกลิ่นหอม ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน สีค่อนข้างแดง ใบมีขนาดยาวรีรูปไข่ ปลายใบแหลมมีขนาดใหญ่สีเขียวอ่อน โคนใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ออกดอกเป็นช่อที่ยอด ดอกมีสีขาวหรือสีขาวปนชมพู ผลของกระชายเป็นผลแห้ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia pundurata (R0xb) Schitr
วงศ์ : Zinggberaceae
ชื่อท้องถิ่น : กะแอน, ระแอน, หัวละแอน (ภาคเหนือ) ; ขิงแดง, ขิงทราย( มหาสารคาม) ; ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ) ; จี๊ปู่, จี๊พู (ฉาน – แม่ฮ่องสอน) ; เป๊าะซอเถ๊ะ, เป๊าะสี (แม่ฮ่องสอน)
กระชายมีหลายประเภทด้วยกัน เช่น กระชายเหลืองกับกระชายดำ เป็นหลัก ซึ่งกระชายดำกำลังเป็นที่นิยม จนกระทั่งกระชายเหลืองรู้สึกว่าจะถูกลดลงไป แต่เขาบอกว่ากระชายเหลืองมีคุณสมบัติทางสมุนไพรดีกว่ากระชายดำ คือไม่ได้ขึ้นอยู่กับสี บางทีคนเราคิดว่าถ้าสีเข้มน่าจะมีประโยชน์ น่าสนใจมากกว่า กระชายดำถูกโปรโมชั่นทางการตลาดเข้ามาเสริมด้วย ทำให้โด่งดังระเบิด แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็จะซา ๆ ลงไปบ้างแล้ว
กระชายที่เห็นโดยทั่วไปจะนำมาใช้ 2 อย่าง คือ ใช้เป็นอาหารและก็เป็นยา ในส่วนของการที่นำเอากระชายมาทำอาหารก็คือ ส่วนที่ตัวรากเพราะว่ากระชายมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ส่วนใหญ่จะนำเอากระชายจริง ๆ แล้วใช้เป็นผักจิ้มรับประทานได้โดยตรง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยทานแบบนั้น มักนิยมมาทำเป็นเครื่องแกงมากกว่า เพราะว่ามีคุณสมบัติที่สามารถดับกลิ่นคาวของเนื้อหรือปลาได้ดีปลาที่มีกลิ่นคาวจัดอย่างเช่น ปลาไหล ปลาดุก อะไรพวกนี้ ก็จะเอากระชายมาปรุง ตัวอย่างของอาหารที่ใช้กระชายเป็นเครื่องปรุงซึ่งชาวไทยรู้จักกันดีก็คือ น้ำยาที่กินกับขนมจีน น้ำยาขนมจีนส่วนใหญ่จะใช้เนื้อปลาเป็นส่วนใหญ่ และมักจะเติมกระชายลงไปเพื่อทำให้ดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา ทำให้มีกลิ่นหอมขึ้น กระชายใช้ทำน้ำยากันทั่ว ๆ ไป ทางภาคกลาง ภาคใต้ และภาคอีสาน แกงบางชนิดที่คนไทยรู้จักกันดี บางทีก็จะมีการใส่กระชายลงไปด้วย อย่างเช่น แกงบอน หรือว่าแกงขี้เหล็ก ยังมีแกงชนิดหนึ่งที่เรารู้จักกันดี ที่เรียกกันว่า แกงปลาไหล ถึงกับมีสำนวนว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เพราะว่าน้ำแกงปลาไหลนี่มีรสชาตอร่อย บางคนเขาก็ไม่ชอบกิน คือเวลากินทีไรมักนึกถึงงู แต่ว่าน้ำแกงปลาไหลนี่จะอร่อย น้ำแกงปลาไหลจะมีกระชายเป็นส่วนประกอบ เช่นเดียวกับพวกแกงปลาดุก หรือแกงอะไรที่มีกลิ่นคาวจัด มีอาหารไทยอีกอย่างที่เป็นที่นิยมชมชอบกันตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันนี้รู้จักกันน้อย คือต้มยำโฮกฮือ เขาบอกว่าเป็นแกงสำหรับซดน้ำกำลังร้อน ๆ จะทำให้ทานข้าว กับข้าวอื่น ๆ ได้คล่องคอ ส่วนรสชาติของต้มยำที่ชื่อโฮกฮือก็คือ กระชายเป็นเครื่องปรุงสำคัญ แกงป่าเป็นแกงไทยดั้งเดิมซึ่งไม่ใส่กะทิ นิยมใช้กระชายเป็นเครื่องปรุงเครื่องแกงโดยเฉพาะแกงป่าที่ใส่พวกปลา เพราะอาหารดั้งเดิมของคนไทยเรา คือ มีปลาเป็นหลัก ส่วนพวกหมูมาทีหลัง มีกลิ่นคาว ดังนั้นกระชายจะช่วยดับกลิ่น และช่วยให้มีกลิ่นหอมขึ้นนอกจากนี้ในอาหารชนิดต่าง ๆ ยังใช้กระชายในการปรุงอาหารอื่นอีกมากมาย เช่น พวกหลนต่าง ๆ งบปลา แกงส้ม แกงต้มเปรอะแกงเขียวหวานมรกต แกงคั่วหัวตาล แกงหน่อไม้ แกงใส่ใบย่านาง กะปิคั่ว ห่อหมกปลาดุก ข้าวแช่ แล้วก็แกงไตปลาของภาคใต้ก็นิยมใส่กระชาย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก มีเหง้าสั้น แตกหน่อได้ รากอวบ รูปทรงกระบอกหรือรูปไข่ค่อนข้างยาว ปลายเรียว กว้าง 1-2 ซม. ยาว 4-10 ซม. ออกเป็นกระจุก ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีเหลือง มีกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นใบ มี 2-7 ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี กว้าง 5-12 ซม. ยาว 12-50 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนมนหรือแหลม ขอบเรียบ เส้นกลางใบ ก้านใบ และกาบใบด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างนูนเป็นสัน ก้านใบเรียบ ยาว 7-25 ซม. กาบใบสีชมพู ยาว 7-25 ซม. ระหว่างก้านใบและกาบใบมีลิ้นใบ ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ออกที่ยอดระหว่างกาบใบคู่ในสุด ยาวประมาณ 5 ซม. แต่ละดอกมีใบประดับ 2 ใบ สีขาวหรือขาวอมชมพูอ่อน รูปใบหอก กว้างประมาณ 8 มม. ยาว 3.5-4.5 ซม. กลีบเลี้ยงสีขาวหรือขาวอมชมพูอ่อน โคนติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 1.7 ซม. ปลายแยกเป็น 3 แฉก กลีบดอกสีขาวหรือขาวอมชมพูอ่อน โคนติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 6 ซม. ปลายแยกเป็น 3 กลีบ รูปใบหอก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบใหญ่ 1 กลีบ กว้างประมาณ 7 มม. ยาวประมาณ 1.8 ซม. อีก 2 กลีบ ขนาดเท่ากัน กว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 6 อัน แต่ 5 อัน เปลี่ยนไปมีลักษณะเหมือนกลีบดอก โดย 2 กลีบบนสีชมพู รูปไข่กลับ ขนาดเท่ากัน กว้างประมาณ 1.2 ซม. ยาวประมาณ 1.7 ซม. อีก 3 กลีบล่างสีชมพูติดกันเป็นกระพุ้ง กว้างประมาณ 2 ซม. ยาวประมาณ 2.7 ซม. ปลายแผ่กว้างประมาณ 2.5 ซม. มีสีชมพูหรือม่วงแดงเป็นเส้นๆ อยู่เกือบทั้งกลีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกระเปาะและปลายกลีบ มีเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 1 อัน ก้านชูอับเรณูหุ้มก้านเกสรเพศเมีย ผลแก่แตกเป็น 3 เสี่ยง เมล็ดค่อนข้างใหญ่
สรรพคุณ:
ตำรายาไทย: เหง้า ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด แก้ปวดมวนท้อง ขับลม ช่วยให้กระเพาะ และลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น แก้โรคอันเกิดในปาก แก้มุตกิด แก้ลมอันบังเกิดแต่กองหทัยวาต แก้ปากเปื่อย ปากแห้ง ปากแตกเป็นแผล แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิดมูกเลือด แก้ปวดเบ่ง รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ บำรุงกำลัง ช่วยเจริญอาหาร ขับระดูขาว แก้ใจสั่น ราก(นมกระชาย) แก้กามตายด้าน ทำให้กระชุ่มกระชวย บำรุงความกำหนัด มีสรรพคุณคล้ายโสม หมอโบราณเรียกว่า โสมไทย หัวและราก ขับปัสสาวะ แก้กระษัย เบาเหลือง แดง เจ็บปวดบั้นเอว บำรุงกำหนัด บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ใจสั่นหวิว ขับปัสสาวะ หัวใช้เผาไฟฝนรับประทานกับน้ำปูนใส เป็นยาแก้บิด แก้โรคบังเกิดในปาก แก้มุตะกิต
ตำรายาแผนโบราณของไทย: มีการใช้กระชายใน พิกัดตรีกาลพิษ คือการจำกัดจำนวนตัวยาแก้พิษตามกาลเวลา 3 อย่าง มีรากกะเพราแดง เหง้าข่า และหัวกระชาย สรรพคุณบำรุงธาตุ บำรุงความกำหนัด แก้ไข้สันนิบาต แก้เลือด เสมหะ แก้กามตายด้าน
ตำรายาพื้นบ้านนครราชสีมา: ใช้เหง้า แก้โรคบิด โดยนำเหง้าย่างไฟให้สุกแล้วโขลกให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส รับประทานทั้งน้ำและเนื้อ ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า เย็น และใช้เหง้าแก้กลากเกลื้อน โดยนำเหง้ามาโขลกให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรงทาบริเวณที่เป็นแผล
ตำรายาพื้นบ้านล้านนา: ใช้เหง้า รักษาโรคทางดินปัสสาวะอักเสบ กลากเกลื้อน ท้องอืดเฟ้อ
สรรพคุณ : กระชายมีรสเผ็ดร้อน สารสำคัญในรากและเหง้ากระชายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหารและแก้โรคในช่องปาก
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
องค์ประกอบทางเคมี:
พบน้ำมันระเหยง่าย 0.08% ประกอบด้วย 1,8 cineol, boesenbergin A, dl-pinostrobin, camphor, cardamonin, panduratin นอกจากนี้ยังพบสาร flavonoid และ chromene เช่น, 6- dihydroxy 4 methoxychalcone, pinostrobin, pinocembin
วิธีปลูกกระชาย
การเตรียมดินปลูกกระชาย
กระชาย สามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด โดยเป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดีไม่ท่วมขัง การเตรียมดินควรไถพรวนตอนต้นฤดูฝน และควรมีการยกร่องปลูกโดยมีระยะห่างระหว่างแถว 75 ซม. ระหว่างต้น 30 ซม.
ฤดูการปลูกกระชาย
ปลูกในช่วงฤดูฝนปลายเดือน เมษายน-พฤษภาคมและจะเก็บหัวในช่วงฤดูหนาว คือปลายเดือน ธันวาคม-มกราคม ซึ่งช่วงดังกล่าวหัวจะแห้ง
การปลูกการเตรียมเหง้าพันธุ์กระชาย
การเตรียมหัวพันธุ์กระชาย
การปลูกใช้ท่อนพันธุ์มี 2 ลักษณะคือหัวแม่และแง่ง
ก่อนปลูกกระชาย หัวพันธุ์ควรแช่ด้วยยาป้องกันเชื้อรา และยาฆ่าเพลี้ยโดยแช่ไว้ประมาณ 30 นาทีการปลูกควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก และวางท่อนพันธุ์ กลบดินหนาประมาณ 5-10 ซม. ขมิ้นจะใช้เวลาในการงอก ประมาณ 30-70 วัน หลังปลูก
การปลูกกระชาย
การใส่ปุ๋ยและกำจัดวัชพืช
กระชายงอก ยาวประมาณ 5-10 ซม. ควรรีบทำการกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย เชื้อกำจัดวัชพืชครั้งที่ 2 ควรพรวนดินกลบโคนแถว
น้ำกระชาย
สรรพคุณกระชายปั่นคั่นน้ำ
ในน้ำกระชายมีอาหารอยู่ 2 กลุ่ม
เมื่อกินน้ำกระชายเข้าไปแล้ว ในกระเพาะเรามีน้ำ มีไขมัน และจุลินทรีย์ สองกลุ่มจะแยกกันทำหน้าที่ของมันเอง ตัวจุลินทรีย์ในกระเพาะจะทำให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่สกัดตัวยากลุ่มที่ละลายในน้ำออกมาจากน้ำกระชายได้เอง ส่วนกลุ่มที่ละลายในไขมันก็ทำงานของเขาเอง
คนปกติควรกินน้ำกระชายเพื่อบำรุงเอาไว้ จะช่วยปัองกันไม่ให้เป็น โรคไต ผู้ชายปัองกันไม่ให้ต่อมลูกหมากโต ผู้หญิงปัองกันไม่ให้เป็นมดลูกโต
ในน้ำกระชาย 1 แก้ว มีคุณค่าสูงกว่านม 1 แก้ว หลายเท่า ถ้าให้เด็กกินเป็นประจำ จะช่วยสร้างกระดูกให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง กินคู่กับมะม่วงสุกแล้วปั่นก็ดี ต้องการให้หวานก็เติมน้ำผึ้งได้ ปั่นกระชายแล้วเก็บน้ำกระชายใส่ขวดแช่เย็นไว้เป็นหัวเชื้อได้หลายวัน เวลาจะทำเครื่องดื่มก็นำหัวเชื้อน้ำกระชายมาเจือจางในน้ำ แล้วจะเต็มน้ำดอกอัญชันก็ได้ หรือเติมน้ำผลไม้ปั่นอื่น ๆ อีกหลายอย่างแล้วแต่จะดัดแปลง ไม่มีอะไรตายตัว ขอให้ทำให้อร่อยแล้วกินได้
วิธีทำน้ำกระชาย
ป้ายคำ : ผักพื้นบ้าน, สมุนไพร