กระบกเป็นพืชที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ เม็ดกระบกเมื่อกินทั้งเปลือกจะมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ เบื่อพยาธิ เนื้อในสีขาว รสมัน บำรุงไขข้อ กระดูก บำรุงไต แก้เส้นเอ็นพิการและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และไขมันในเม็ดกระบกนำมาใช้ในการทำเครื่องสำอางค์ และสบู่ สรรพคุณที่กล่าวมาเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดและบอกต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ชื่อวิทยาศาสตร์ Irvingia malayana Oliv. ex. A. W. Benn.
ชื่อพ้อง Irvingia harmandiana Pierre ex Lecomte, I. oliveri Pierre, I. pedicellata Gagnep.
ชื่อวงศ์ Irvingiaceae
ชื่ออื่นๆ มะมื่น มื่น (ภาคเหนือ) มะลื่น หมักลื่น (สุโขทัย นครราชสีมา), บก หมากบก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กะบก จะบก ตระบก (ภาคกลาง), จำเมาะ, หลักกาย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 35 เมตร ผลัดใบช่วงสั้นๆ ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดแน่นทึบและแผ่กว้าง ลำต้นหนาโคนต้นที่อายุมากมักเป็นพูพอน เส้นผ่าศูนย์กลางถึง 200 ซม. เปลือกสีเทาอมน้ำตาล เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ เปลือกชั้นในสีส้มอ่อน กิ่งอ่อนมีรอยหูใบที่หลุดร่วงไปชัดเจน
พบตามป่าเต็งรัง ป่าชายหาด ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตลอดจนป่าดิบชื้น ที่สูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเล จนถึงประมาณ 300 เมตร ออกดอกระหว่าง เดือนมกราคม-มีนาคม เป็นผล ระหว่างช่วง เดือน กุมภาพันธ์- สิงหาคม เนื้อในเมล็ดนำมาคั่วสุกมีรสมัน รับประทานได้ น้ำมันจากเมล็ด ใช้ทำอาหาร สบู่ และเทียนไขได้ ผลสุก เป็นอาหารสัตว์ป่า
สรรพคุณ
ตำรายาไทย เนื้อในเมล็ด มีรสมันร้อน บำรุงเส้นเอ็น บำรุงไขข้อ แก้ข้อขัด บำรุงไต ฆ่าพยาธิในท้อง ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ผสมกับกระเบาและมะเกลือ ต้มน้ำดื่มสำหรับผู้หญิงที่อยู่ไฟไม่ได้
ยาพื้นบ้านอีสานใช้ แก่น แก้ผื่นคัน แก้ไอ ผสมแก่นพันจำ และแก่นมะป่วน หรือผสมแก่นมะเดื่อปล้อง แก่นพันจำ แก่นปีบ และแก่นมะพอก ต้มน้ำหรือแช่น้ำดื่ม แก้ไอ ผสมลำต้นต่อไส้ และแก่นกันแสง แช่น้ำอาบ แก้ผื่นคัน แก่นผสมกับแก่นมะพอกต้มน้ำดื่มแก้ฟกช้ำ ลำต้น ต้มน้ำดื่ม รักษาโรคปอดพิการ แก้ไอเป็นเลือด ผสมเหง้าขมิ้นอ้อย รากทองแมว เมล็ดงา ครั่ง มดแดง และเกลือ ต้มน้ำดื่ม แก้เคล็ดยอก เปลือกต้น ผสมลำต้นเหมือดโลด ใบหวดหม่อน ลำต้นเม่าหลวง และเปลือกต้นมะรุม ตำพอกแก้ปวด ใบ ตำผสมกับเลือดควายใช้ย้อมแห น้ำมันจากเนื้อในเมล็ด ใช้ปรุงอาหาร
ยาพื้นบ้านล้านนา ใช้ เปลือกต้น ผสมเหง้าสับปะรด งวงตาล รากไผ่รวก นมควายทั้งต้น และสารส้ม ต้มน้ำดื่ม รักษาโรคหนองใน
ภกญ.รศ.ดร.พาณี ศิริสะอาด คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้วิจัย เปิดเผยว่า กระบกหรือกะบก ทางภาคเหนือเรียกว่ามะมื่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Irvingia malayana Oliv. Ex A. Benn. และจัดอยู่ในวงศ์ IRVINGGIACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-30 เมตร ผลรูปกลมหรือรูปไข่ ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีเนื้อหุ้มเมล็ด มีเมล็ดเดี่ยวที่โตและแข็ง เนื้อในเมล็ดมีสีขาว รับประทานสุกได้
งานวิจัยไขกระบกของคณะเภสัชศาสตร์ เป็นการนำวัตถุดิบที่มีในประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยได้ทำการ สกัดไขกระบก และศึกษาคุณสมบัติของไขกระบกทางเคมีและกายภาพ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากไขกระบกทางเครื่องสำอาง และยา โดยนำมาพัฒนาเป็นครีม ยาเหน็บ และศึกษาแนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ทางอาหารเสริม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต
โดยนำเนื้อในเมล็ดกระบก จากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มาสกัดแยกเอาไขโดยใช้เครื่องสกัดที่ไม่ใช้สารเคมี ทำให้บริสุทธิ์ และศึกษาคุณสมบัติพื้นฐานและวิเคราะห์ค่ากรดไขมันในไขกระบกที่สกัดได้ จากนั้น นำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยหาค่ามาตรฐานของไขกระบก ตั้งตำรับ สบู่แบบใส สบู่แบบขุ่นครีมบำรุงผิว ครีมบำรุงมือและเล็บ และ ยาเหน็บ และนำเนื้อในเมล็ดกระบกมาศึกษาคุณค่า และวิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสม ผลการศึกษา พบว่าการสกัดกระบก ได้ไขร้อยละ 47.3% มีกรดไขมัน myristic acidและ lauric acid ร้อยละ 42 และ48 ตามลำดับ โดยมีจุดเริ่มต้นที่จะหลอมเหลว 34.17 องศาเซลเซียส อีกทั้งมี 2 รูปผลึกเมื่อหลอมที่อุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียส สามารถกลับมาแข็งตัวได้อีก พบว่าสามารถพัฒนาเป็นสบู่ที่มีฟองตามธรรมชาติไม่ต้งอใช้สารเพิ่มฟอง ได้ครีมที่มีตัวทำอีมัลชั่นประเภทมีประจุและไม่มีประจุและพัฒนาได้ครีมต้นแบบ สามารถพัฒนาเป็นยาเหน็บโดยมีความมันวาว จับต้องง่ายไม่ระคายเคืองทวาร
พบว่าเนื้อในกระบก เมื่อสกัดด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ ใน100 กรัม ประกอบด้วยไขมัน 66.78 % , คาร์โบไฮเดรท 9.07 % , โปรตีน 3.40 %, ธาตุเหล็ก 61.43 มก. และแคลเซียม 103.30 มก. ความชื้น 2.08 % เนื้อในไขกระบกที่เก็บไว้ที่4 ๐C มีความคงตัวสูงสุด เมื่อเทียบกับที่ 45 ๐C และที่อุณหภูมิห้องนาน 120วัน โดยมีค่าเปอร์ออกไซด์ 1.37-2.70 meqROOH/kg ของน้ำหนักเนื้อในไขกระบกซึ่งแสดงว่าไขกระบกค่อนข้างทนต่อการเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ในทางอุตสาหกรรมมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอาหารที่เพิ่มคุณค่าได้
สรุปผลการศึกษาไขกระบก มาจากเนื้อในเมล็ดพืช ได้จากต้นไม้ยืนต้น พบได้ทั่วไปในป่าทั่วประเทศไทย บางครั้งพบหล่นตามป่า คณะผู้วิจัยได้นำผลผลิตดังกล่าวมาพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่า และรายได้แก่คนบนดอย พบว่าเนื้อในผลมะมื่น นอกจากมีการนำมาคั่วกินเล่น สามารถนำมาพัฒนา เป็นเครื่องสำอาง และยาเหน็บทวารและเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง หากสามารถขยายผลนำไปพัฒนาเป็นเครื่องสำอางและยา จะสามารถทดแทน การนำเข้าไขแข็งที่นำเข้ามาพัฒนาเป็นยาพื้นยาเหน็บและเครื่องสำอางได้
ที่มา
กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้
ราชบัณฑิตยสถาน. 2538. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก. กรุงเทพมหานคร: เพื่อนพิมพ์.
ภาควิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ป้ายคำ : ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง