กากถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพสูงสุด มีกรดอะมิโนจำเป็นหลายตัว แต่มี Cystine และ Methionine ในระดับต่ำโดยเฉพาะ Methionine มีน้อยมากจึงถูกจัดเป็น Firstlimiting amino acid เม็ดถั่วเหลืองมีโปรตีนประมาณ 38% ไขมัน 16 21 % แต่เมื่อสกัดเอาน้ำมันออกแล้วจะมีโปรตีนเฉลี่ย 44%อาจถึง 50% ขึ้นอยู่กับวิธีสกัดน้ำมันและขนาดของเมล็ด ในทางการค้าได้แบ่งออกเป็น 2 เกรด คือกากถั่วเหลือง 44 % และ 48% กากถั่วเหลือง 44 % เป็นกากถั่วเหลืองที่มีเปลือกผสมอยู่ด้วย ส่วน กากถั่วเหลือง 48 % คือกากถั่วเหลืองที่กระเทาะเอาเปลือกออก ไม่มีส่วนของเปลือกปนมาเลย ถั่วเหลืองดิบมีสารพิษอยู่มาก มีทั้งสารที่เป็นตัวกระตุ้น และแก่งแย่ง รวมทั้งสารที่ทำให้เกิด การแพ้บวม(Allergenic) สาร Goitrogenic และสารต้านการจับตัวเป็นก้อน และที่สำคัญคือ Trypsin inhibitor ดังนั้นในกรณีของถั่วเหลือง จึงพบว่าถั่วเหลืองที่โดนความร้อนจะมีคุณค่าของโภชนะสูงกว่าถั่วดิบ แต่หากความร้อนที่ให้สูงเกินไปจะทำให้คุณค่าของโภชนะเสียได้โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ได้ของ Lysine และ Arginine ลดลง

กากถั่วเหลืองเป็นผลพลอยได้จากโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลือง และผลพลอยได้จากเมล็ดถั่วเหลืองที่นำมาเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งมีดังนี้
- กากถั่วเหลืองบด (Ground Soybean) คือ ถั่วเหลืองบดทั้งเมล็ดโดยไม่สกัดเอาน้ำมันออก
- ถั่วเหลืองบดทั้งต้น (Ground Soybean hay) คือต้นถั่วเหลืองบดทั้งใบ ลำต้น และเมล็ด ซึ่งไม่มีพืชชนิดอื่นหรือวัชพืชปะปนเลย และมีปริมาณของเยื่อใยจะต้องไม่เกินมาตรฐานสินค้าที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภท
- เปลือกถั่วเหลือง (Soybean Hulls) ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยเปลือกชั้นนอกสุดของเมล็ดถั่วเหลือง
- กากถั่วเหลืองซึ่งได้จากการสกัดน้ำมันด้วยการหีบหรืออัด (Soybean Meal , Mechanical extracted) คือกากถั่วเหลืองที่ได้จากการสกัดน้ำมันโดยวิธีหีบอัดทางกายภาพ วิธีจะต้องใช้ความร้อนในกรรมวิธีในการผลิต ผลพลอยได้ชนิดนี้จะต้องไม่มีสารพิษหรือสารอื่นใดเจือปนอยู่เกินกว่า 0.5 % และมีปริมาณของเยื่อใยจะต้องไม่เกินมาตรฐานสินค้าที่กำหนดไว้ในแต่ละประเทศ
- กากถั่วเหลืองซึ่งได้จากการสกัดน้ำมันด้วยสารละลายอินทรีย์ (Soybean Meal , Solvent Extracted) คือกากถั่วเหลืองที่ได้จากการสกัดน้ำมันโดยวิธีสกัดโดยสารละลายอินทรีย์ วิธีการนี้จะต้องใช้ความร้อนในกรรมวิธีการผลิตเช่นกัน ผลพลอยได้ชนิดนี้จะต้องไม่มีสารพิษหรือสารอื่นใดเจือปนและมีปริมาณของเยื่อใยจะต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้
- กากถั่วเหลืองที่กระเทาะเอาเปลือกนอกออกและสกัดด้วยสารละลายอินทรีย์ (Soybean Meal , Dehulled , Solvent Extracted) คือกากถั่วเหลืองที่ได้จากการสกัดน้ำมันจากเมล็ดถัวเหลืองที่เอาเปลือกนอกออกแล้วโดยใช้สารละลายอินทรีย์สกัดเช่นกัน วิธีนี้ต้องใช้ความร้อนในกรรมวิธีการผลิตและต้องไม่มีสิ่งเจือปนตลอดจนปริมาณเยื่อใยไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้
- ซอยบีนมิลล์ฟีด (Soybean Mill Feed ) เป็นผลพลอยได้จากเปลือกนอกของเมล็ดถั่วเหลือง และส่วนหางของเมล็ดถั่วเหลืองจากเครื่องบดถั่วเหลืองจากอุตสาหกรรมการทำแป้งถั่วเหลือง ปริมาณโปรตีนและเยื่อใยจะต้องตรงตามมาตรฐานที่แต่ละประเทศกำหนดไว้
- ซอยบีนมิลล์รัน (Soybean Mill Run) คือเปลือกนอกและเนื้อถั่วเหลืองที่ติดมาด้วยกับเปลือก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำกากถั่วเหลืองชนิดที่กระเทาะเอาเปลือกออกแล้วสกัดด้วยสารละลาย
- ถั่วเหลืองนึ่งหรืออบ (Heat Processed Soybean) คือการเอาถั่วเหลืองทั้งเมล็ดมานึ่ง อบ คั่ว ทั้งเมล็ดแล้วอาจนำมาบดอัดเป็นเม็ด ทำเป็นเกล็ด หรือเป็นผงก็ได้ และมักขายในราคาตามปริมาณโปรตีนของผลผลิต
- กราวด์เอ็ดทรูเด็ด โฮล ซอยบีน (Ground Extruded whole Soybean) คือ ผลที่ได้จากการนำเอาเมล็ดถั่วเหลืองทั้งเมล็ดไปอบด้วยไอน้ำ แล้วอัดผ่านเครื่องอัดแรงดันสูง(extruder) เพื่อให้เกิด friction heat ผลที่ได้มักจะขายราคาตามปริมาณโปรตีนของผลผลิต


ส่วนประกอบทางเคมี กากถั่วเหลือง
ส่วนประกอบ (%)
- ความชื้น 10
- โปรตีน 44
- ไขมัน 1
- เยื่อใย 7.0
- เถ้า 6.0
- แคลเซียม 0.25
- ฟอสฟอรัสใช้ประโยชน์ได้ 0.20
พลังงานใช้ประโยชน์ได้ ( กิโลแคลอรี่/กก. )
- ในสุกร 2,825
- ในสัตว์ปีก 2,280

กรดอะมิโน (%)
- ไลซีน 2.73
- เมทไธโอนีน 0.59
- เมทไธโอนีน + ซีสตีน 1.26
- ทริปโตเฟน 0.59
- ทรีโอนีน 1.72
- ไอโซลูซีน 2.17
- อาร์จินีน 3.18
- ลูซีน 3.39
- เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน 3.82
- อิสติดีน 1.11
- เวลีน 2.24
- ไกลซีน 1.83
การสังเกตความสุกดิบของกากถั่วเหลืองด้วยตาเปล่า
- กากถั่วเหลืองที่สุกไม่พอหรือดิบ กากจะซีด มีกลิ่นเหม็นเขียว
- กากถั่วเหลืองที่สุกพอดี จะมีสีน้ำตาลอ่อนกลิ่นหอม
- กากถั่วเหลืองที่สุกมากเกินไปซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ จะมีสีคล้ำกว่า มีกลิ่นเหม็นไหม้

ข้อสังเกตการใช้กากถั่วเหลือง
- ถ้าเป็นกากถั่วเหลืองชนิดอัดน้ำมัน(Expeller process)จะเก็บได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถ้าเป็นชนิดสกัดน้ำมัน(Solvent extracted)จะเก็บได้นานเกิน 2 เดือน แต่แมลงจะรบกวนมาก
- ถ้ากากถั่วเหลืองไม่สุกจริงจะมีสาร Trypsin inhibitor ตกค้างอยู่ สัตว์ที่ได้รับจะมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ หรือชงักการเจริญเติบโต
- ถั่วเหลืองดิบจะมีเอนไซม์ยูรีเอส ซึ่งจะย่อยโปรตีนในถั่วให้สลายไปเรื่อยๆ หากถั่วนั้นเก็บไว้นานเปอร์เซ็นต์โปรตีนจะลดลง และคุณภาพโปรตีนจะลดลงด้วย
- การใช้กากถั่วเหลืองผสมในอาหารสัตว์ควรเสริมกรดอะมิโน Methionine Cystine (Threonine Valine และ Tyrosine) ลงไปด้วยจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตดีขึ้น กรดอะมิโนอีก 3 ตัวที่อยู่ในวงเล็บ ทดลองได้ผลดีในหนู
- การใช้ในสัตว์กระเพาะเดี่ยว นอกจากระวังเรื่องการขาดกรดอะมิโนแล้ว ยังต้องระวังเรื่องการขาดไวตามินบีรวมอีกด้วย เพราะพบว่าถ้าไม่เสริมบีรวม(B-complex) ในสูตรอาหารแม่สุกรที่ใช้ SMB ลูกที่เกิดออกมาจะอ่อนแอทั้งคอก โตช้า แม่มีน้ำนมเลี้ยงลูกน้อย สุกรแก่ๆจะแสดงการเดินไม่ปกติ ไก่ไข่จะฟักออกน้อย ลูกไก่ไม่แข็งแรง มีลักษณะ Haemorrhages คล้ายการขาดไวตามินเค
- มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ
- มี แคลเซียมต่ำ ฟอสฟอรัสสูง
- ในไทยมักพบว่ามีการปลอมปน SMBด้วย รำ ซังข้าวโพด ดิน หิน กากนุ่น กากฝ้าย จากการสังเกตพบว่า ถ้าปนด้วยรำ หรือซังข้าวโพดบด ปริมาณโปรตีนจะต่ำกว่าปกติ ปริมาณเถ้าจะเป็นปกติ ถ้าปนด้วย ดิน หิน ปริมาณโปรตีนจะลดน้อย แต่ปริมาณเถ้าจะเพิ่มขึ้นมากจนผิดสังเกต ถ้าปนด้วยกากเมล็ดพืชอื่นๆ สังเกตดูได้จากลักษณะของกาก เยื่อใย จากกล้อง Sterio จะมีลักษณะแตกต่างออกไป
- เม็ดถั่วเหลืองสุก (ไม่ได้สกัดน้ำมัน) ถ้าใช้ในสูตรอาหารสุกรเกิน 10% จะเกิด Soft pork
- ในสัตว์เคี้ยวเอื้องสามารถใช้ถั่วเหลืองดิบได้ และกากถั่วเหลืองที่ผ่านขบวนการ Expeller จะใช้ค่า Bypass protein (โปรตีนที่สามารถผ่านกระเพาะ 1, 2 , 3 ไปจนถึง 4 ได้โดยไม่ถูกย่อย แต่จะถูกย่อยในกระเพาะที่ 4 ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน) สูงกว่าของกากถั่วเหลืองที่ผ่านการสกัดน้ำมันด้วยสารเคมี
- นำถั่วเหลืองดิบผ่านความร้อนอุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 นาที เพื่อลดสารพิษลง อย่างไรก็ตามหากคั่วหรือผ่านความร้อนนานเกินไปจะทำให้กรดอะมิโนบางชนิดถูกทำลาย
- เมื่อต้องการนำถั่วเหลืองไม่สกัดหรือไม่อัดน้ำมันมาเลี้ยงโคนม ต้องบดเสียก่อน เพื่อจะได้ย่อยมากขึ้น และนอกจากนั้นควรให้โคนมได้รับไวตามินเอ จากแหล่งอื่นเพิ่มเติม เพราะในถั่วเหลืองมีไวตามินเอ ต่ำ กล่าวคือ ควรให้โคนมกินพืชอาหารสัตว์สดคุณภาพดีด้วย
- ในการใช้ถั่วเหลืองไม่สกัดไขมันผสมอาหารไก่ หากไม่ได้สกัดน้ำมันออกใช้ได้ในระดับร้อยละ 10 25 ในอาหารผง และ 10 40 ในอาหารอัดเมล็ดแต่หากสกัดน้ำมันแล้วก็ใช้ได้ร้อยละ 10 40 ในอาหารทั้งผงและอัดเม็ด โดยก่อนการผสมต้องบดให้ละเอียดเสียก่อน เพื่อได้ใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น
กากถั่วเหลือง ใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์
หลังจากเรียนรู้วิธีการทำฮอร์โมนถั่วเหลืองไปแล้ว หลายคนก็อาจเกิดคำถามว่าแล้วกากถั่วเหลืองที่เห็นแม่ค้าร้านน้ำเต้าหูเหลือทิ้งอยู่ทุกวันนั้น สามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยได้บ้างมั้ย คำตอบก็คือได้ค่ะ โดยมีทางเลือกมานำเสนอ 2 ทางดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 ทำง่ายๆโดยนำกากถั่วเหลืองที่เหลือทิ้งจากการทำน้ำเต้าหู้มาผสมน้ำ กวนใส่ในถัง แล้วนำไปรดผักได้เลย โดยแนะนำว่าเวลารดควรจะรดตรงบริเวณโคนต้น เพราะหากรดที่ใบอาจทำให้กากถั่วเหลืองไปเคลือบที่บริเวณใบทำให้พืชหายใจไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นหากน้ำปุ๋ยกากถั่วเหลืองนี้ราดไปถูกใบ ก็แนะนำให้ฉีดน้ำล้างที่ใบพืชด้วย ปุ๋ยน้ำกากถั่วเหลืองนี้จะช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี และแข็งแรง สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยยูเรียได้อย่างดีทีเดียว สิ่งสำคัญคือเมื่อนำกากถั่วเหลืองผสมกับน้ำแล้ว ควรใช้ให้หมดภายในวันนั้น เพราะหากทิ้งไว้จะส่งกลิ่นเหม็นมาก แต่ถ้ายังไม่ใช้หรือยังใช้ไม่หมด ก็แนะนำว่าให้เก็บไว้ในถุง รัดปากถุงให้สนิทก่อน วิธีนี้จะช่วยทำให้เราสามารถเก็บกากถั่วเหลืองไว้ใช้ได้นานถึงครึ่งเดือน
ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งของการทำวิธีนี้ก็คือ กากถั่วเหลืองที่รดลงไปบนดินนั้น เมื่อทิ้งไว้สักระยะก็จะจับตัวกันเป็นแผ่น แนะนำให้ลอกแผ่นกากถั่วเหลืองนี้มาขยำเป็นผง แล้วก็นำไปผสมดิน ผสมปุ๋ย เพื่อใช้ปลูกพืชอื่นๆได้อีก
ขอบคุณข้อมูลจากคุณสุวัฒน์ พึ่งบาง โครงการเกษตรโอเค
วิธีที่ 2 เป็นการนำกากถั่วเหลืองมาหมักเป็นปุ๋ยหมัก เพื่อใช้บำรุงพืชผัก ส่วนผสมสำคัญที่ต้องใช้คือ
- กากถั่วเหลือง 1 ส่วน
- รำข้าว(ละเอียด) 1 ส่วน
- ขี้วัว 1 ส่วน

สำหรับขั้นตอนการทำ คือให้นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ปรับความชื้นโดยใช้มือกำแรงๆ เมื่อคลายมือวัสดุจับตัวเป็นก้อนอยู่ ถือว่าใช้ได้ จากนั้นนำใส่ถุงปุ๋ย พับปากกระสอบออก(เปิดปากกระสอบ) วางผึ่งไว้ในที่ร่ม วัสดุหมักจะร้อน(อิอิ เหม็นมากด้วยค่ะ) ประมาณ 10 วันความร้อนหมดไป นำมาใช้โดยทุบให้ละเอียด โรยผสมลงไปในดิน หรือโรยรอบต้นผักค่ะ
ขอบคุณพี่แหม่มวิทยากรจาก สนง.เขตหลักสี่