การเลี้ยงปลาช่อน

16 สิงหาคม 2558 สัตว์ 0

ปลาช่อนเป็นปลาพื้นเมืองของไทย พบอาศัยแพร่กระจายทั่วไปตามแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของไทย อาศัยอยู่ในแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ หนองและบึง ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีมาหลายร้อยพันปีแล้วนอกจากจะพบในประเทศไทยยังมีแพร่หลายในประเทศจีน อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าการเลี้ยงปลาช่อนในประเทศไทยเกิดขึ้นครั้งแรกที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีประมาณ 40 ปีมาแล้ว โดยชาวจีนที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นนายทุนได้รวบรวมลูกพันธุ์จากแหล่งน้ำธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอสองพี่น้อง มาทดลองเลี้ยงดูและเห็นว่าพอเลี้ยงได้จึงออกทุนให้กับคนญวนที่มี ภูมิลำเนาติดกับแม่น้ำท่าจีนและคลองสองพี่น้องในตำบลสองพี่น้อง ตำบลต้นตาล โดยสร้างกระชังในล่อนแล้วแต่ขนาดและความเหมาะสม นำลูกปลาช่อนมาลงเลี้ยง โดยผลผลิตที่ได้นายทุนจะรับซื้อเอง แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องเลิกเพราะเกษตรกรบางรายนำลูกปลาช่อนไปลองเลี้ยงในบ่อดินและพบว่าได้ผลดีกว่าและต้นทุนต่ำกว่า และปริมาณลูกปลาช่อนที่ได้รับก็มีจำนนวนมากกว่า

ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทยอาศัย อยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึงและทะเลสาบ มีชื่อสามัญ STRIPED SNAKE-HEAD FISH และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa striatus ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดี ก้างน้อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด จึงทำให้การบริโภคปลาช่อนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันปริมาณปลาช่อนที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ มีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากการทำประมง เกินศักยภาพการผลิต ตลอดจนสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ตื้นเขิน ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ทำให้ปริมาณปลาช่อนในธรรมชาติ ไม่เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์และความต้องการบริโภค การเลี้ยงปลาช่อนจึงเป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลน โดยนำลูกปลาที่รวบรวมได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติและจากการเพาะขยายพันธุ์มา เลี้ยงให้เป็นปลาโตตามขนาดที่ตลาดต้องการต่อไป

plachonda

ชื่อไทย ช่อน (ภาคกลางและภาคใต้ ) , ค้อ ( ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ )
ชื่อสามัญ STRIPED SNAKE-HEAD FISH
ชื่อวิทยาศาสตร์ Channa striatus

อุปนิสัย
โดยธรรมชาติปลาช่อนเป็นปลาประเภทกินเนื้อ กินสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ รวมทั้งปลาขนาดเล็กและแมลงในน้ำชนิดต่างๆ เป็นอาหาร เมื่ออาหารขาดแคลน ปลาจะมีพฤติกรรมกินกันเอง โดยปลาช่อนตัวใหญ่จะกินปลาตัวเล็ก

plachon

รูปร่างลักษณะ
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีเกล็ด มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ลำตัวอ้วนกลมยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่ ปากกว้างมาก มีฟันซี่เล็กๆ อยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ครีบทุกครีบไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหลังและครีบก้นยาวจนเกือบถึงโคนหาง ครีบหางเรียวปลายมน ด้านข้างลำตัวมีลายดำพาดเฉียง ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน มีลายเส้นทแยงสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว ๖-๗ เส้น ด้านท้องสีจางตัดกับด้านบน ครีบสีคล้ำมีขอบสีเหลืองอ่อน ครีบท้องจาง มีขนาดลำตัวประมาณ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง ๑ เมตร มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ ปลาช่อนจึงสามารถเคลื่อนไหวไปบนบกหรือฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานานๆ

plachonpl

แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจาย
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืด อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ (ตอนที่กระแสน้ำไหลอ่อนๆ) ลำคลอง หนองบึง บ่อและคู ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ในฤดูฝนปรากฏว่าปลาช่อนขึ้นไปหาอาหารและวางไข่ตามทุ่งนา เป็นอันมาก นอกจากนี้ยังพบว่าปลาช่อนนั้นสามารถอยู่ได้ในน้ำกร่อย เช่น บริเวณคลองด้านซ้ายมือ เขตอำเภอบางปะกง ซึ่งมีความเค็ม ๐.๒-๐.๓ เปอร์เซ็นต์ และมี pH ตั้งแต่ ๔.๐-๙.๐ ปลาช่อนก็อยู่ได้ นอกจากประเทศไทยแล้วในต่างประเทศที่พบว่ามีปลาช่อน คือ อินเดีย พม่า มลายู บอร์เนียวเหนือ เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

การเตรียมพ่อแม่พันธุ์
พ่อแม่พันธุ์ที่ใช้ต้องเป็นปลาที่เลี้ยงเองตั้งแต่เล็ก ด้วยอาหารเม็ด เพื่อให้ปลาเชื่องและคุ้นเคยต่อสภาพกักขัง โดยช่วงแรกอายุ ๑-๓ เดือน เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ เพื่อฝึกให้ปลาเชื่องและกินอาหารเม็ดได้ดีหลังจากนั้นนำไปเลี้ยงในบ่อดิน เพื่อให้ได้ขนาดใหญ่ขึ้น อายุ ๖-๘ เดือน จึงนำกลับมาเลี้ยงต่อในบ่อซีเมนต์เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์

การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
เลี้ยงในบ่อซีเมนต์แบบรวมเพศอัตราการปล่อย ๑๐ ตัวต่อตารางเมตร น้ำหนักรวม ๑๐๐ กิโลกรัมต่อบ่อขนาด ๕๐ ตารางเมตร ให้อาหารเม็ดลอยน้ำสำหรับปลาดุกเล็กโปรตีน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ วันละ ๒ ครั้ง อัตรา ๒% ของน้ำหนักตัว เปลี่ยนถ่ายน้ำทั้งบ่อพร้อมลำงทำความสะอาดเดือนละ ๒ ครั้ง ไม่ให้อากาศ

การเพาะพันธุ์โดยใช้ฮอร์โมน
ปลาช่อนสามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปี สำหรับฤดูกาลผสมพันธุ์วางไข่ จะเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม-ตุลาคม ช่วงที่แม่ปลามีความพร้อมที่สุดคือ เดือน มิถุนายน-กรกฎาคม
ในฤดูวางไข่ จะสังเกตความแตกต่างระหว่างปลาเพศผู้กับเพศเมียอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาเพศเมีย ลักษณะท้องจะอูมเป่ง ช่องเพศขยายใหญ่ มีสีชมพูปนแดง ครีบท้องกว้างสั้น ส่วนปลาเพศผู้ ลำตัวมีสีเข้มใต้คางจะมีสีขาว ลำตัวยาวเรียวกว่าปลาเพศเมีย

ความแตกต่างระหว่างเพศผู้และเพศเมีย
ตามธรรมชาติปลาช่อนจะสรำงรังวางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งความลึกของน้ำประมาณ ๓๐-๑๐๐ เซนติเมตร โดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้สรำงรัง ด้วยการกัดหญ้าหรือพรรณไม้น้ำและใช้หางโบกพัด ตลอดเวลา เพื่อที่จะทำให้พื้นที่เป็นรูปวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ปลาจะกัดหญ้าที่บริเวณกลางของรัง ส่วนพื้นดินใต้น้ำ ปลาก็จะตีแปลงจนเรียบ หลังจากที่ปลาช่อนได้ผสมพันธุ์วางไข่แล้ว พ่อแม่ปลาจะคอยรักษาไข่อยู่ใกล้ๆ เพื่อมิให้ปลาหรือศัตรูอื่นเข้ามากิน จนกระทั่งไข่ฟักออกเป็นตัว ในช่วงนี้พ่อแม่ปลาก็ยังให้การดูแลลูกปลาวัยอ่อน เมื่อลูกปลามีขนาด ๒-๓ เซนติเมตร จึงแยกตัวออกไปหากินตามลำพังได้ ซึ่งระยะนี้เรียกว่า ลูกครอก หรือ ลูกชักครอก ลูกปลาขนาดดังกล่าว น้ำหนักเฉลี่ย ๐.๕ กรัม ปลา ๑ กิโลกรัมจะมีลูกครอก ประมาณ ๒,๐๐๐ ตัว ลูกครอกระยะนี้จะมีเกษตรกร ผู้รวบรวมลูกปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นอาชีพ นำมาจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปลาอีกต่อหนึ่งในราคากิโลกรัมละ ๗๐-๑๐๐ บาท ซึ่งรวบรวมได้มากในระหว่างเดือน มิถุนายน-ธันวาคม

การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
ปลาช่อนที่นำมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ควรเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสมบูรณ์ ไม่บอบช้ำและมีน้ำหนักตั้งแต่ ๘๐๐-๑,๐๐๐ กรัมขึ้นไปและควรอายุ ๑ ปีขึ้นไป ลักษณะแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ปลาช่อนที่ดี ซึ่งเหมาะสมจะนำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ คือ แม่พันธุ์ควรมีส่วนท้องอูมเล็กน้อย ลักษณะของติ่งเพศ มีสีแดงหรือสีชมพูอมแดง ถ้าเอามือบีบเบาๆ ที่ท้องจะมีไข่ไหลออกมา มีลักษณะกลมสีเหลืองอ่อน ใส ส่วนพ่อพันธุ์ติ่งเพศ ควรจะมีสีชมพูเรื่อๆ ปลาไม่ควรจะมีรูปร่างอ้วนหรือผอมมากเกินไปและเป็นปลาที่มี ขนาดน้ำหนัก ๘๐๐-๑,๐๐๐ กรัม
****การคัดเลือก ต้องทำด้วยความรวดเร็วอย่าให้ปลาขับเมือกออกมาก พ่อปลาควรมีอายุมากกว่าแม่ปลา คือ อายุ ๒ ปีขึ้นไป

การฉีดฮอร์โมน
ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Suprefact) ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์ (Motilium) ฉีดให้แม่ปลาครั้งเดียว อัตราฮอร์โมนสังเคราะห์ ๒๐-๓๐ ไมโครกรัม/กิโลกรัมและยาเสริมฤทธิ์ ๑๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม พ่อปลาฉีดพร้อมแม่ปลาด้วยความเข้มข้นฮอร์โมนสังเคราะห์ ๑๐ ไมโครกรัม/กิโลกรัมและยาเสริมฤทธิ์ ๑๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฉีดเข้ากลำมเนื้อข้างตัวปลาหรือโคนครีบหู
* ขณะฉีดปลาต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา

การผสมพันธุ์
หลังฉีดฮอร์โมนแล้ว ปล่อยพ่อแม่ปลาลงผสมในถังพลาสติกทรงสูง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร น้ำลึก ๖๐-๗๐ เซนติเมตร ถังละ ๑ คู่ ใส่เชือกฟางฉีกฝอยเพื่อเป็นรังไข่ ปิดปากถังด้วยตาข่ายพรางแสงสีดำทิ้งไว้ ๒๔ ชั่วโมงปลาจะรัดและผสมพันธุ์วางไข่เองตามธรรมชาติไข่ลอยผิวหนำน้ำบริเวณรัง ไข่

*ขณะผสมพันธุ์พ่อแม่ปลาต้องการที่เงียบสงบ ถังเพาะควรอยู่ในที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่านหรือมีเสียงรบกวน

การฟักไข่
การฟักไข่
ไข่ปลาช่อนมีลักษณะกลมเล็ก เป็นไข่ลอย มีไขมันมาก ไข่ที่ดีมีสีเหลือง ใส ส่วนไข่เสียจะทึบหลังปลาวางไข่ ใช้กระชอนผ้าตาถี่ (โอล่อนแก้ว) ช้อนไข่มารวมในถังฟัก(ถังไฟเบอร์กลาส) ขนาดความจุ ๒ ตัน ใส่น้ำสูง ๖๕ เซนติเมตร เปิดน้ำให้ไหลผ่านตลอด (อัตรา ๕ ลิตรต่อนาที) ๑ ถังใส่ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ฟอง

* หลังฟักไข่ จะมีไข่บางส่วนเสีย ควรช้อนทิ้งเป็นระยะๆ การฟักไข่ระบบน้ำปิดและมีระบบกรองที่ดีจะมีประสิทธิภาพกว่าระบบเปิด

การอนุบาล
การอนุบาลเบื้องต้น
ไข่ฟักเป็นตัวภายใน ๓๐-๓๖ ชั่วโมง ลูกปลาที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ๆ ลำตัวมีสีดำ มีถุงไข่แดงสีเหลืองใสปลาจะลอยตัวในลักษณะหงายท้องขึ้นอยู่บริเวณผิวน้ำลอยอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหวหลังจากนั้น ๒-๓ วัน จึงพลิกตัวกลับลงและว่ายไปมาตามปกติโดยว่ายรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณผิวน้ำ ลูกปลาช่อนที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ๆ ใช้อาหารในถุงไข่แดงที่ติดมากับตัวและถุง ไข่แดงยุบภายใน ๓ วัน วันที่ ๔ หลังจากถุงไข่แดงยุบให้ไรแดงปริมาณมากเกินพออัตราความหนาแน่น ๕๒ ตัว/ลิตร ระยะเวลา ๒-๓ วัน แล้วนำลงอนุบาลต่อในบ่อดิน

plachonnach
การอนุบาลในบ่อดิน
เตรียมบ่อขนาด ๘๐๐ ตารางเมตร ใส่รำ ปลาป่น อัตราส่วน ๒ : ๑ หว่านพื้นก้นบ่อๆละ ๕ กิโลกรัม เติมน้ำสูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร หลังปล่อยปลาให้อาหารเป็นรำผสมปลาป่นอัตรา ๑:๑ คลุกผสมกันแล้ว ผสมน้ำ ๓ ลิตร สาดให้ทั่วบ่อวันละ ๒ ครั้งๆ ละ ๕ กิโลกรัม อนุบาล ๒๐-๒๕ วัน ได้ลูกปลาขนาด ๓-๕ เซนติเมตร อัตรารอด ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าให้อาหารไม่เพียงพออัตราการเจริญเติบโตของลูกปลาจะแตกต่างกันและพฤติกรรม การกินกันเอง ทำให้อัตราการรอดตายต่ำจึงต้องคัดขนาดลูกปลา การอนุบาลลูกปลาช่อน โดยทั่วไปจะมีอัตราการรอดประมาณ ๔๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันๆ ละ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำ

วิธีการเฉพาะสำหรับการเพาะพันธุ์ปลาช่อน

  • การเตรียมพ่อแม่พันธุ์ ถ้าต้องการให้ปลาขนาดใหญ่เร็ว ควรให้ลูกปลายี่สกเทศมีชีวิตเป็นอาหารควบคู่กับการให้อาหารเม็ดด้วย อัตราลูกปลายี่สกเทศ ๑๐ ตัว ต่อปลาช่อน ๑ ตัว ต่อ ๑ วัน
  • การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ต้องเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ เพื่อความสะดวกในการเพาะและปลาไม่เครียดหรือบอบช้ำ ซึ่งมีผลดีต่อการฉีดฮอร์โมน ถ้าต้องการให้แม่ปลาท้องดี ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทั้งบ่อสัปดาห์ละครั้ง
  • การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ต้องทำด้วยความรวดเร็วดูเฉพาะลักษณะภายนอกคร่าวๆ อย่าใช้เวลาคัดเลือกนาน อย่าให้ปลาขับเมือกออกมามาก เพราะจะทำให้ปลาอ่อนแอติดโรคได้ง่าย พ่อปลาควรเลือกตัวที่ผอมเพรียว หัวโต ครีบต่างๆ ยาว และมีอายุมากกว่าแม่ปลา หรือมีอายุตั้งแต่ ๒ ปี ขึ้นไป พ่อแม่ขนาดเฉลี่ย ๕๐๐-๘๐๐ กรัม คัดเลือกขนาดเท่ากันจับคู่ผสมพันธุ์
  • การฉีดฮอร์โมน ควรทำอย่างรวดเร็ว ขณะฉีดปลาต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา
  • การผสมพันธุ์ ขณะผสมพันธุ์พ่อแม่ปลาต้องการที่เงียบสงบ ดังนั้นถังเพาะควรจัดให้อยู่ในที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่านและไม่รบกวนปลา
  • การฟักไข่หลังฟักไข่จะมีไข่บางส่วนเสีย ควรช้อนทิ้งเป็นระยะๆ โดยใช้กระชอนขนาดช่องตาเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓ มิลลิเมตร โดยช้อนทิ้งให้หมดเพราะปล่อยไว้จะทำให้เกิดเชื้อรา ควรมีน้ำไหลผ่านตลอด การฟักไข่ระบบน้ำปิดและมีระบบกรองที่ดีจะมีประสิทธิภาพกว่าระบบเปิด
  • การอนุบาลเบื้องต้น จะไม่ปล่อยให้ลูกปลาอยู่ในถังฟักนานเกิน ๓ วันหลังจากถุงอาหารยุบเพราะลูกปลาจะกินกันเองเนื่องจากขาดอาหาร ระยะนี้ลูกปลาจะกินอาหารจุมาก
  • การอนุบาลในบ่อดิน ระหว่างการอนุบาล ต้องเสริมไรแดงให้ด้วย ปริมาณมากเท่าที่จะให้ได้บางครั้งไรแดงเกิดเองในบ่ออนุบาล ก็ไม่จำเป็นต้องให้เพิ่ม

การเลี้ยง
การเตรียมบ่อเลี้ยงปลา
การเลี้ยงปลาช่อนเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการนั้น นิยมเลี้ยงในบ่อดิน ซึ่งมีหลักการเตรียมบ่อดินเหมือนกับการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่วๆ ไป ดังนี้

  1. ตากบ่อให้แห้ง
  2. ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน ในอัตราประมาณ ๖๐-๑๐๐ กิโลกรัม / ไร่ ทิ้งไว้ประมาณ ๕-๗ วัน
  3. ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติสำหรับลูกปลา ในอัตราประมาณ ๔๐-๘๐ กิโลกรัม/ไร่
  4. สูบน้ำเข้าบ่อโดยกรองน้ำเพื่อไม่ให้ศัตรูของลูกปลาติดเข้ามากับน้ำ จนกระทั่งมีระดับน้ำลึก ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ทิ้งระยะไว้ ๑-๒ วัน จึงปล่อยลูกปลา ลูกปลาจะได้มีอาหารกินหลังจากที่ได้เตรียมอาหารธรรมชาติในบ่อ (ข้อ ๓) เรียบร้อยแล้ว
  5. ก่อนปล่อยลูกปลาลงบ่อเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำ ในภาชนะลำเลียงและบ่อให้ใกล้เคียงกัน สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปลาควรเป็นตอนเย็นหรือตอนเช้า

plachonboa plachonwa

การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารสด
ขั้นตอนเลี้ยงปลา
ปลาช่อนเป็นปลากินเนื้อ อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาช่อนเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยทั่วไปเกษตรกรนิยมเลี้ยงด้วยปลาเป็ด
อัตราการปล่อยปลา ลูกปลาขนาด ๘-๑๐ เซนติเมตร น้ำหนัก ๓๐-๓๕ ตัว / กิโลกรัม ควรปล่อยในอัตรา ๔๐-๕๐ ตัว/ตารางเมตร และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ให้ใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยงอัตราความเข้มข้นประมาณ ๓๐ ส่วนในลำน (๓ ลิตร / น้ำ ๑๐๐ ตัน) ในวันแรกที่จะปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหาร ควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น
การให้อาหาร เมื่อปล่อยลูกปลาช่อนลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงลูกปลาช่อนมีขนาดเล็ก คือ ปลาเป็ดผสมรำในอัตราส่วน ๔:๑ หรืออัตราส่วนปลาเป็ด ๔๐ เปอร์เซ็นต์ รำ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ หัวอาหาร ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน ๔-๕ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลา วางอาหารไว้บนตะแกรงหรือภาชนะแบนลอยไว้ใต้ผิวน้ำ ๒-๓ เซนติเมตร ควรวางไว้หลายๆจุด
การถ่ายเทน้ำ ช่วงแรกความลึกของน้ำในบ่อควรอยู่ที่ระดับ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำ สัปดาห์ละ ๑๐ เซนติเมตร จนได้ระดับ ๕๐ เซนติเมตร จึงถ่ายน้ำวันละครั้ง หลังจากอนุบาลลูกปลาในบ่อดินประมาณ ๒ เดือน ปลาจะเติบโตไม่เท่ากัน ใช้อวนลากลูกปลาเพื่อคัดขนาด มิฉะนั้นปลาขนาดใหญ่จะกินปลาขนาดเล็ก
ผลผลิต หลังจากอนุบาลปลาในช่วง ๒ เดือนแล้ว ต้องใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ ๔-๕ เดือน จะให้ผลผลิต ๑-๒ ตัว/กิโลกรัม เช่นเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน จะได้ผลผลิตมากกว่า ๖,๐๐๐ กิโลกรัม
การจับ เมื่อปลาโตได้ขนาดตลาดต้องการจึงจับจำหน่าย ก่อนจับปลาควรงดอาหาร ๑-๒ วัน
การป้องกันโรค โรคของปลาช่อนที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหา คุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดี ซึ่งสาเหตุเกิดจากการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ โดยการหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที

ผลผลิต
ช่วงเวลาในการเลี้ยงปลาช่อนประมาณ ๘-๙ เดือน สำหรับปลาลูกครอก ส่วนปลาช่อน ที่เริ่มเลี้ยงจากขนาดปลารุ่น ๒๐ ตัว / กิโลกรัม ถึงขนาดตลาดต้องการ ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ ๕ เดือน น้ำหนักจะอยู่ระหว่าง ๐.๖-๑.๐ กิโลกรัม โดยทั่วไปน้ำหนักปลาที่ตลาดต้องการขนาด ๐.๕-๐.๗ กิโลกรัม สำหรับอัตราแลกเนื้อประมาณ ๕-๖ : ๑ กิโลกรัม ผลผลิต ๑๒ ตัน / ไร่ สำหรับปลาผอมและเติบโตช้า เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาช่อน เรียกว่า “ปลาดาบ” นอกจากนี้น้ำที่ระบายออกจากบ่อปลาช่อน ควรนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเลี้ยงปลากินพืช เช่น ปลาบึก ปลานิล ฯลฯ

plachonbos

การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูป
ขั้นตอนเลี้ยงปลา
ปลาช่อนแม้จะเป็นปลากินเนื้อ แต่สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดสำเร็จรูปได้และปลาช่อนที่ได้ จากการเพาะในปัจจุบันลูกปลายอมรับอาหารชนิดเม็ดตั้งแต่เล็ก
อัตราการปล่อย ลูกปลาน้ำหนัก ๒๗-๒๘ ตัว/กิโลกรัม ควรปล่อยในอัตรา ๗๐๐ กิโลกรัมหรือประมาณ ๒๐,๐๐๐ ตัวต่อ ๑ ไร่ ช่วงเวลาที่ทำการปล่อย เช้าหรือเย็น เพราะแดดไม่จัดจนเกินไปและควรคัดลูกปลาให้มีขนาดไล่เลี่ยกันมากที่สุด
อาหารและการให้อาหาร เมื่อปล่อยลูกปลาช่อนลงในบ่อแล้ว ควรปล่อยให้ลูกปลาพักฟื้นจากการลำเลียงประมาณ ๓-๔ วัน จากนั้นจึงเริ่มให้อาหารซึ่งเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำโปรตีน ๔๐-๔๕ เปอร์เซ็นต์โดย ๒ เดือนแรก ให้อาหาร ๓ มื้อ เช้า เที่ยง เย็น แต่ละมื้อให้ประมาณ ๙-๑๐ กิโลกรัม เป็นอาหารเม็ดขนาดเล็ก ช่วงเดือนที่ ๓ และ ๔ ลดโปรตีนลงเหลือ ๓๕-๔๐ เปอร์เซ็นต์ ลดการให้เหลือ ๒ มื้อ คือ เช้าและเย็น โดยให้ปริมาณมื้อละ ๒๐ กิโลกรัม จากนั้นเมื่อปลามีอายุเข้าเดือนที่ ๕ จะให้อาหารเพิ่มเป็นมื้อละ ๓๐ กิโลกรัม ลักษณะการให้อาหารจะเดินหว่านรอบๆบ่อ

  • การเปลี่ยนถ่ายน้ำ เปลี่ยนถ่ายน้ำเดือนละ ๑-๒ ครั้ง หรือมากกว่า เพราะการถ่ายน้ำบ่อยๆ เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของปลา การเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด น้ำไม่เน่าเสียง่ายเหมือนที่เลี้ยงด้วยอาหารสด
  • ผลผลิต เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ ๕ เดือน จะให้ผลผลิต ๗๐๐ กรัมต่อตัว เช่นเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน จะได้ผลผลิตมากกว่า ๔,๐๐๐ กิโลกรัม
  • การป้องกันโรค การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ด ดูแลง่ายเพราะอาหารไม่จมน้ำ ขณะที่ให้อาหารสดจมน้ำ ถ้าเหลือจะเน่าเสียทำให้น้ำเน่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะเกิดโรค แต่อย่างไรก็ตามการเกิดโรคของปลาจะต้องจัดการเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วยการป้องกันจึงจะได้ผล ซึ่งจะดำเนินการโดยเมื่อเลี้ยงได้ ๑๕ วัน ก็เริ่มคุมหรือป้องกันโรคด้วยการใช้ยาออกซี่เตรทตรำไซคลินคลุกกับอาหารให้ ปลากิน ๑ – ๒ ครั้งต่อเดือน ในปริมาณยา ๒๐ กรัมต่ออาหาร ๑ กิโลกรัม

plachonbo

โรคปลาและการป้องกัน
โรคพยาธิและอาการของปลาช่อนส่วนใหญ่ ได้แก่

  1. โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คือ แอโรโมนาส โฮโดรฟิลา เฟลคซิแบคเตอร์ คอลัมนาริส และไมโครแบคทีเรีย อาการของโรคโดยทั่วไปที่พบ ได้แก่ ผิวหนังบริเวณเกล็ดเกิดแผลที่มีลักษณะช้ำเป็นจุดแดงๆ สีลำตัวซีดหรือด่างขาว เมือกมากผิดปกติ เกล็ดหลุด แผลเน่าเปื่อย ว่ายน้ำผิดปกติ เสียการทรงตัวหรือตะแคงข้าง เอาตัวซุกขอบบ่อ ครีบเปื่อยแหว่ง ตาฟางหรือตาขุ่นขาว ตาบอด ปลาจะกินอาหารน้อยลง
  2. โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก อาทิ เห็บระฆัง ปลิงใส ฯลฯ พยาธิเห็บระฆังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง เป็นแผลขนาดเล็กตามผิวตัวและเหงือก การรักษา ใช้ฟอร์มาลิน ๑๕๐-๒๐๐ ลิตร ต่อน้ำ ๑,๐๐๐ ลิตร แช่ประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือ ๒๕-๕๐ ซีซี. ต่อน้ำ ๑,๐๐๐ ลิตร แช่ ประมาณ ๒๔ ชั่วโมง
  3. โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน เช่น พยาธิหัวหนาม พบในลำไส้ ลักษณะอาการตัวผอมและกินอาหารลดลง การรักษา ใช้ยาถ่ายพยาธิแต่ทางที่ดีควรใช้วิธีป้องกัน

วิธีป้องกันโรค
ในฟาร์มที่มีการจัดการที่ดี จะไม่ค่อยประสบปัญหาปลาเป็นโรค แต่ในฟาร์มที่มีการจัดการไม่ดี ปัญหาปลาเป็นโรคตาย มักจะเกิดขึ้นเสมอ บางครั้งปลาอาจตายในระหว่างการเลี้ยงสูงถึง ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับปลาเป็ด ที่นำมาใช้เลี้ยงในปัจจุบัน คุณภาพมักจะไม่สดเท่าที่ควรและหากมีเศษอาหารเหลือตกค้างในบ่อจะทำให้บ่อเกิด การเน่าเสียเป็นเหตุให้ปลาตาย ดังนั้น จึงควรมีวิธีป้องกันดังนี้ คือ

  1. ควรเตรียมบ่อและน้ำตามวิธีการที่เหมาะสมและปลอดภัยก่อนปล่อยลูกปลา
  2. ซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปลามีสุขภาพแข็งแรงและปราศจากโรค
  3. หมั่นตรวจดูอาการของปลาอย่างสม่้าเสมอ ถ้าเห็นอาการผิดปกติต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็ว
  4. หลังจากปล่อยปลาลงเลี้ยงแล้ว ๓-๔ วัน ควรสาดฟอร์มาลิน ๒-๓ ลิตรต่อปริมาณ/ปริมาตรน้ำ ๑๐๐ ตันและหากปลาที่เลี้ยง เกิดโรคพยาธิภายนอก ให้แก้ไขโดย สาดฟอร์มาลิน ในอัตรา ๔-๕ ลิตรต่อปริมาณ/ปริมาตรน้ำ ๑๐๐ ตัน (การใช้ฟอร์มาลิน ควรระวังเรื่องปริมาณออกซิเจนในน้ำ ถ้าต่้ามากควรมีการให้อากาศด้วย)
  5. เปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับพื้นบ่ออย่างสม่้าเสมอ
  6. อย่าให้อาหารมากเกินความต้องการของปลา

ต้นทุนการผลิตปลาช่อนที่เลี้ยงด้วยอาหารสด
๑. ต้นทุนผันแปร
– ค่าพันธุ์ปลาที่อัตราการปล่อย ๒,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่ ราคากิโลกรัมละ ๔๕ บาท เป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท
– ค่าอาหารที่อัตราผลผลิตเฉลี่ย ๗ ตัน/ ไร่ และอัตราแลกเนื้อ(๕:๑) อาหารกิโลกรัมละ ๖-๗ บาท เป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท/ ไร่
– ค่าปูนขาว อัตรา ๑๐๐ กิโลกรัม / ไร่ เป็นเงิน ๑๒๐ บาท / ไร่
– ค่ายาและสารเคมี ๑,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ๑,๐๐๐๑,๒๐๐ บาท / ไร่
๒. ต้นทุนคงที่
– ค่าขุดบ่อ ๕,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าก่อคอนกรีตผนังบ่อ ๔๐,๐๐๐ บาท / ไร่

ต้นทุนการผลิตปลาช่อนที่เลี้ยงด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูป
๑. ต้นทุนผันแปร
– ค่าพันธุ์ปลา อัตราปล่อย ๖.๕ ตัว/ตารางเมตร จำนวนปลา ๑๐,๔๐๐ ตัว/ไร่ เป็นเงิน ๑๘,๙๐๐ บาท
– ค่าอาหารที่อัตราผลผลิต ๓ ตัน / ไร่ และอัตราแลกเนื้อ(๑.๗๗:๑) ค่าอาหารเป็นเงิน ๗๓,๐๕๐ บาท
– ค่ายาและสารเคมี ๑,๒๐๐ บาท
– ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ๕๐๐ บาท
๒. ต้นทุนคงที่
– ค่าขุดบ่อ ๕,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าก่อคอนกรีตผนังบ่อ ๔๐,๐๐๐ บาท / ไร่

การลำเลียง
ใช้ลังไม้รูปสี่เหลียมผืนผ้าภายในกรุสังกะสีกว้าง ๕๘ เซนติเมตร ยาว ๙๔ เซนติเมตร ความสูง ๓๘ เซนติเมตร บรรจุปลาได้ ๕๐ กิโลกรัม สามารถขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกไปทั่วประเทศ จังหวัดสุพรรณบุรีจัดว่าเป็นแหล่งเลี้ยงและส่งจำหน่ายปลาช่อนอับดับหนึ่งของ ประเทศ โดยส่งไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนื และภาคเหนือ มากกว่าภาคอื่นๆ สำหรับภาควันออกเฉียงเหนือต้องการปลาน้ำหนัก ๓๐๐๔๐๐ กรัม และ ๗๐๐๘๐๐ กรัม ส่วนภาคเหนือต้องการปลาน้ำหนักมากกว่า ๓๐๐-๔๐๐ กรัม และ มากกว่า ๕๐๐ กรัมขึ้นไป

แนวโน้มการตลาด
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดีอีกทั้งยัง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ จึงมีผู้นิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย ทำให้แนวโน้มด้านการตลาดดี ปลาช่อนเป็นปลาเศรษฐกิจ ขายได้ทุกขนาด ยิ่งน้ำหนัก ตัวละ ๘๐๐ กรัม ถึง ๑ กิโลกรัม จะได้ราคาดี กิโลกรัมละ ๗๐-๘๐ บาท ถ้าเผาปลาช่อนขายจะขายได้ตัวละ ๙๐-๑๐๐ บาท ปลาช่อนเล็ก ราคากิโลกรัมละ ๕๐-๖๐ บาท แต่ถ้าแปรรูปเป็นปลาเค็ม ปลาช่อนแดดเดียว ราคากิโลกรัมละ ๑๒๐ บาท ความต้องการของตลาดมีมาก สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้

ปัญหาอุปสรรค

  1. เนื่องจากปลาช่อนเป็นปลากินเนื้อและกินจุ จำเป็นต้องมีปริมาณน้ำเพียงพอ เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำในช่วงการเลี้ยง
  2. ต้นทุนอาหาร การเลี้ยงปลาส่วนใหญ่ หากใช้ปลาทะเลเป็นหลักซึ่งมีราคาสูงขึ้น ก็จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตปลาช่อนสูงขึ้นตามไปด้วย
  3. การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ ยังเลี้ยงอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากอาหารมีราคาแพง ต้นทุนสูงและลูกปลาที่ผลิตได้ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ
  4. เนื่องจากการเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ ยังมีผู้เลี้ยงจำนวนน้อยมาก ทำให้ไม่มีผู้ผลิตอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำสำหรับปลาช่อนโดยเฉพาะ ต้องให้อาหารเม็ดสำหรับปลาดุกหรือปลาชนิดอื่นที่มีในท้องตลาดแทน

เอกสารอ้างอิง
ชอบ ประพันธ์เนติวุฒิ. 2518. การเลี้ยงปลาช่อนที่ลงทุนน้อยแต่กำไรมาก. วารสารการประมง ปีที่28 เล่มที่ 1. หน้า 21-24.
ไม่มีชื่อผู้แต่ง. 2544. การเลี้ยงปลาช่อน. กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 17 หน้า.
ยุพินท์ วิวัฒนชัยเศรษฐ์. 2536. การเลี้ยงปลาช่อนที่สุพรรณบุรี.วารสารการประมง ปีที่ 46 ฉบับที่ 4. หน้า 315-319.
ยุพินท์ วิวัฒนชัยเศรษฐ์.2541. ปลาช่อนไทยครองใจผู้บริโภค. วารสารการประมง ปีที่ 51 ฉบับที่ 6. หน้า 563-570.
วันเพ็ญ มีนกาญจน์. 2528.ปลาไทยในสถานแสดงพันธุ์น้ำจืด. สถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หน้า 81.
สุธีร์ พจน์ศิลปชัย.2544. ปลาช่อนสุพรรณบุรี. วารสารการประมง ปีที่ 54 ฉบับที่ 5. หน้า 441-443.
โสภา อารีรัตน์, จารุวรรณ สมศิริ และประสิทธิ์ พัฒนุช 2527. การป้องกันโรคระบาดปลาช่อนที่ สุพรรณบุรี. วารสารการประมง ปีที่ 37 ฉบับที่ 6. หน้า 529-532.

ป้ายคำ : ,

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด สัตว์

แสดงความคิดเห็น