ปลาช่อนเป็นปลาพื้นเมืองของไทย พบอาศัยแพร่กระจายทั่วไปตามแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของไทย อาศัยอยู่ในแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ หนองและบึง ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีมาหลายร้อยพันปีแล้วนอกจากจะพบในประเทศไทยยังมีแพร่หลายในประเทศจีน อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าการเลี้ยงปลาช่อนในประเทศไทยเกิดขึ้นครั้งแรกที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีประมาณ 40 ปีมาแล้ว โดยชาวจีนที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นนายทุนได้รวบรวมลูกพันธุ์จากแหล่งน้ำธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอสองพี่น้อง มาทดลองเลี้ยงดูและเห็นว่าพอเลี้ยงได้จึงออกทุนให้กับคนญวนที่มี ภูมิลำเนาติดกับแม่น้ำท่าจีนและคลองสองพี่น้องในตำบลสองพี่น้อง ตำบลต้นตาล โดยสร้างกระชังในล่อนแล้วแต่ขนาดและความเหมาะสม นำลูกปลาช่อนมาลงเลี้ยง โดยผลผลิตที่ได้นายทุนจะรับซื้อเอง แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องเลิกเพราะเกษตรกรบางรายนำลูกปลาช่อนไปลองเลี้ยงในบ่อดินและพบว่าได้ผลดีกว่าและต้นทุนต่ำกว่า และปริมาณลูกปลาช่อนที่ได้รับก็มีจำนนวนมากกว่า
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทยอาศัย อยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึงและทะเลสาบ มีชื่อสามัญ STRIPED SNAKE-HEAD FISH และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa striatus ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดี ก้างน้อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด จึงทำให้การบริโภคปลาช่อนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันปริมาณปลาช่อนที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ มีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากการทำประมง เกินศักยภาพการผลิต ตลอดจนสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ตื้นเขิน ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ทำให้ปริมาณปลาช่อนในธรรมชาติ ไม่เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์และความต้องการบริโภค การเลี้ยงปลาช่อนจึงเป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลน โดยนำลูกปลาที่รวบรวมได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติและจากการเพาะขยายพันธุ์มา เลี้ยงให้เป็นปลาโตตามขนาดที่ตลาดต้องการต่อไป
ชื่อไทย ช่อน (ภาคกลางและภาคใต้ ) , ค้อ ( ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ )
ชื่อสามัญ STRIPED SNAKE-HEAD FISH
ชื่อวิทยาศาสตร์ Channa striatus
อุปนิสัย
โดยธรรมชาติปลาช่อนเป็นปลาประเภทกินเนื้อ กินสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ รวมทั้งปลาขนาดเล็กและแมลงในน้ำชนิดต่างๆ เป็นอาหาร เมื่ออาหารขาดแคลน ปลาจะมีพฤติกรรมกินกันเอง โดยปลาช่อนตัวใหญ่จะกินปลาตัวเล็ก
รูปร่างลักษณะ
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีเกล็ด มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ลำตัวอ้วนกลมยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่ ปากกว้างมาก มีฟันซี่เล็กๆ อยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ครีบทุกครีบไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหลังและครีบก้นยาวจนเกือบถึงโคนหาง ครีบหางเรียวปลายมน ด้านข้างลำตัวมีลายดำพาดเฉียง ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน มีลายเส้นทแยงสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว ๖-๗ เส้น ด้านท้องสีจางตัดกับด้านบน ครีบสีคล้ำมีขอบสีเหลืองอ่อน ครีบท้องจาง มีขนาดลำตัวประมาณ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง ๑ เมตร มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ ปลาช่อนจึงสามารถเคลื่อนไหวไปบนบกหรือฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานานๆ
แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจาย
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืด อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ (ตอนที่กระแสน้ำไหลอ่อนๆ) ลำคลอง หนองบึง บ่อและคู ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ในฤดูฝนปรากฏว่าปลาช่อนขึ้นไปหาอาหารและวางไข่ตามทุ่งนา เป็นอันมาก นอกจากนี้ยังพบว่าปลาช่อนนั้นสามารถอยู่ได้ในน้ำกร่อย เช่น บริเวณคลองด้านซ้ายมือ เขตอำเภอบางปะกง ซึ่งมีความเค็ม ๐.๒-๐.๓ เปอร์เซ็นต์ และมี pH ตั้งแต่ ๔.๐-๙.๐ ปลาช่อนก็อยู่ได้ นอกจากประเทศไทยแล้วในต่างประเทศที่พบว่ามีปลาช่อน คือ อินเดีย พม่า มลายู บอร์เนียวเหนือ เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
การเตรียมพ่อแม่พันธุ์
พ่อแม่พันธุ์ที่ใช้ต้องเป็นปลาที่เลี้ยงเองตั้งแต่เล็ก ด้วยอาหารเม็ด เพื่อให้ปลาเชื่องและคุ้นเคยต่อสภาพกักขัง โดยช่วงแรกอายุ ๑-๓ เดือน เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ เพื่อฝึกให้ปลาเชื่องและกินอาหารเม็ดได้ดีหลังจากนั้นนำไปเลี้ยงในบ่อดิน เพื่อให้ได้ขนาดใหญ่ขึ้น อายุ ๖-๘ เดือน จึงนำกลับมาเลี้ยงต่อในบ่อซีเมนต์เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
เลี้ยงในบ่อซีเมนต์แบบรวมเพศอัตราการปล่อย ๑๐ ตัวต่อตารางเมตร น้ำหนักรวม ๑๐๐ กิโลกรัมต่อบ่อขนาด ๕๐ ตารางเมตร ให้อาหารเม็ดลอยน้ำสำหรับปลาดุกเล็กโปรตีน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ วันละ ๒ ครั้ง อัตรา ๒% ของน้ำหนักตัว เปลี่ยนถ่ายน้ำทั้งบ่อพร้อมลำงทำความสะอาดเดือนละ ๒ ครั้ง ไม่ให้อากาศ
การเพาะพันธุ์โดยใช้ฮอร์โมน
ปลาช่อนสามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปี สำหรับฤดูกาลผสมพันธุ์วางไข่ จะเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม-ตุลาคม ช่วงที่แม่ปลามีความพร้อมที่สุดคือ เดือน มิถุนายน-กรกฎาคม
ในฤดูวางไข่ จะสังเกตความแตกต่างระหว่างปลาเพศผู้กับเพศเมียอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาเพศเมีย ลักษณะท้องจะอูมเป่ง ช่องเพศขยายใหญ่ มีสีชมพูปนแดง ครีบท้องกว้างสั้น ส่วนปลาเพศผู้ ลำตัวมีสีเข้มใต้คางจะมีสีขาว ลำตัวยาวเรียวกว่าปลาเพศเมีย
ความแตกต่างระหว่างเพศผู้และเพศเมีย
ตามธรรมชาติปลาช่อนจะสรำงรังวางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งความลึกของน้ำประมาณ ๓๐-๑๐๐ เซนติเมตร โดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้สรำงรัง ด้วยการกัดหญ้าหรือพรรณไม้น้ำและใช้หางโบกพัด ตลอดเวลา เพื่อที่จะทำให้พื้นที่เป็นรูปวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ปลาจะกัดหญ้าที่บริเวณกลางของรัง ส่วนพื้นดินใต้น้ำ ปลาก็จะตีแปลงจนเรียบ หลังจากที่ปลาช่อนได้ผสมพันธุ์วางไข่แล้ว พ่อแม่ปลาจะคอยรักษาไข่อยู่ใกล้ๆ เพื่อมิให้ปลาหรือศัตรูอื่นเข้ามากิน จนกระทั่งไข่ฟักออกเป็นตัว ในช่วงนี้พ่อแม่ปลาก็ยังให้การดูแลลูกปลาวัยอ่อน เมื่อลูกปลามีขนาด ๒-๓ เซนติเมตร จึงแยกตัวออกไปหากินตามลำพังได้ ซึ่งระยะนี้เรียกว่า ลูกครอก หรือ ลูกชักครอก ลูกปลาขนาดดังกล่าว น้ำหนักเฉลี่ย ๐.๕ กรัม ปลา ๑ กิโลกรัมจะมีลูกครอก ประมาณ ๒,๐๐๐ ตัว ลูกครอกระยะนี้จะมีเกษตรกร ผู้รวบรวมลูกปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นอาชีพ นำมาจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปลาอีกต่อหนึ่งในราคากิโลกรัมละ ๗๐-๑๐๐ บาท ซึ่งรวบรวมได้มากในระหว่างเดือน มิถุนายน-ธันวาคม
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
ปลาช่อนที่นำมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ควรเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสมบูรณ์ ไม่บอบช้ำและมีน้ำหนักตั้งแต่ ๘๐๐-๑,๐๐๐ กรัมขึ้นไปและควรอายุ ๑ ปีขึ้นไป ลักษณะแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ปลาช่อนที่ดี ซึ่งเหมาะสมจะนำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ คือ แม่พันธุ์ควรมีส่วนท้องอูมเล็กน้อย ลักษณะของติ่งเพศ มีสีแดงหรือสีชมพูอมแดง ถ้าเอามือบีบเบาๆ ที่ท้องจะมีไข่ไหลออกมา มีลักษณะกลมสีเหลืองอ่อน ใส ส่วนพ่อพันธุ์ติ่งเพศ ควรจะมีสีชมพูเรื่อๆ ปลาไม่ควรจะมีรูปร่างอ้วนหรือผอมมากเกินไปและเป็นปลาที่มี ขนาดน้ำหนัก ๘๐๐-๑,๐๐๐ กรัม
****การคัดเลือก ต้องทำด้วยความรวดเร็วอย่าให้ปลาขับเมือกออกมาก พ่อปลาควรมีอายุมากกว่าแม่ปลา คือ อายุ ๒ ปีขึ้นไป
การฉีดฮอร์โมน
ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Suprefact) ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์ (Motilium) ฉีดให้แม่ปลาครั้งเดียว อัตราฮอร์โมนสังเคราะห์ ๒๐-๓๐ ไมโครกรัม/กิโลกรัมและยาเสริมฤทธิ์ ๑๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม พ่อปลาฉีดพร้อมแม่ปลาด้วยความเข้มข้นฮอร์โมนสังเคราะห์ ๑๐ ไมโครกรัม/กิโลกรัมและยาเสริมฤทธิ์ ๑๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฉีดเข้ากลำมเนื้อข้างตัวปลาหรือโคนครีบหู
* ขณะฉีดปลาต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา
การผสมพันธุ์
หลังฉีดฮอร์โมนแล้ว ปล่อยพ่อแม่ปลาลงผสมในถังพลาสติกทรงสูง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร น้ำลึก ๖๐-๗๐ เซนติเมตร ถังละ ๑ คู่ ใส่เชือกฟางฉีกฝอยเพื่อเป็นรังไข่ ปิดปากถังด้วยตาข่ายพรางแสงสีดำทิ้งไว้ ๒๔ ชั่วโมงปลาจะรัดและผสมพันธุ์วางไข่เองตามธรรมชาติไข่ลอยผิวหนำน้ำบริเวณรัง ไข่
*ขณะผสมพันธุ์พ่อแม่ปลาต้องการที่เงียบสงบ ถังเพาะควรอยู่ในที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่านหรือมีเสียงรบกวน
การฟักไข่
การฟักไข่
ไข่ปลาช่อนมีลักษณะกลมเล็ก เป็นไข่ลอย มีไขมันมาก ไข่ที่ดีมีสีเหลือง ใส ส่วนไข่เสียจะทึบหลังปลาวางไข่ ใช้กระชอนผ้าตาถี่ (โอล่อนแก้ว) ช้อนไข่มารวมในถังฟัก(ถังไฟเบอร์กลาส) ขนาดความจุ ๒ ตัน ใส่น้ำสูง ๖๕ เซนติเมตร เปิดน้ำให้ไหลผ่านตลอด (อัตรา ๕ ลิตรต่อนาที) ๑ ถังใส่ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ฟอง
* หลังฟักไข่ จะมีไข่บางส่วนเสีย ควรช้อนทิ้งเป็นระยะๆ การฟักไข่ระบบน้ำปิดและมีระบบกรองที่ดีจะมีประสิทธิภาพกว่าระบบเปิด
การอนุบาล
การอนุบาลเบื้องต้น
ไข่ฟักเป็นตัวภายใน ๓๐-๓๖ ชั่วโมง ลูกปลาที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ๆ ลำตัวมีสีดำ มีถุงไข่แดงสีเหลืองใสปลาจะลอยตัวในลักษณะหงายท้องขึ้นอยู่บริเวณผิวน้ำลอยอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหวหลังจากนั้น ๒-๓ วัน จึงพลิกตัวกลับลงและว่ายไปมาตามปกติโดยว่ายรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณผิวน้ำ ลูกปลาช่อนที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ๆ ใช้อาหารในถุงไข่แดงที่ติดมากับตัวและถุง ไข่แดงยุบภายใน ๓ วัน วันที่ ๔ หลังจากถุงไข่แดงยุบให้ไรแดงปริมาณมากเกินพออัตราความหนาแน่น ๕๒ ตัว/ลิตร ระยะเวลา ๒-๓ วัน แล้วนำลงอนุบาลต่อในบ่อดิน
การอนุบาลในบ่อดิน
เตรียมบ่อขนาด ๘๐๐ ตารางเมตร ใส่รำ ปลาป่น อัตราส่วน ๒ : ๑ หว่านพื้นก้นบ่อๆละ ๕ กิโลกรัม เติมน้ำสูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร หลังปล่อยปลาให้อาหารเป็นรำผสมปลาป่นอัตรา ๑:๑ คลุกผสมกันแล้ว ผสมน้ำ ๓ ลิตร สาดให้ทั่วบ่อวันละ ๒ ครั้งๆ ละ ๕ กิโลกรัม อนุบาล ๒๐-๒๕ วัน ได้ลูกปลาขนาด ๓-๕ เซนติเมตร อัตรารอด ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าให้อาหารไม่เพียงพออัตราการเจริญเติบโตของลูกปลาจะแตกต่างกันและพฤติกรรม การกินกันเอง ทำให้อัตราการรอดตายต่ำจึงต้องคัดขนาดลูกปลา การอนุบาลลูกปลาช่อน โดยทั่วไปจะมีอัตราการรอดประมาณ ๔๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันๆ ละ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำ
วิธีการเฉพาะสำหรับการเพาะพันธุ์ปลาช่อน
การเลี้ยง
การเตรียมบ่อเลี้ยงปลา
การเลี้ยงปลาช่อนเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการนั้น นิยมเลี้ยงในบ่อดิน ซึ่งมีหลักการเตรียมบ่อดินเหมือนกับการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่วๆ ไป ดังนี้
การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารสด
ขั้นตอนเลี้ยงปลา
ปลาช่อนเป็นปลากินเนื้อ อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาช่อนเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง โดยทั่วไปเกษตรกรนิยมเลี้ยงด้วยปลาเป็ด
อัตราการปล่อยปลา ลูกปลาขนาด ๘-๑๐ เซนติเมตร น้ำหนัก ๓๐-๓๕ ตัว / กิโลกรัม ควรปล่อยในอัตรา ๔๐-๕๐ ตัว/ตารางเมตร และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ให้ใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยงอัตราความเข้มข้นประมาณ ๓๐ ส่วนในลำน (๓ ลิตร / น้ำ ๑๐๐ ตัน) ในวันแรกที่จะปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหาร ควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น
การให้อาหาร เมื่อปล่อยลูกปลาช่อนลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงลูกปลาช่อนมีขนาดเล็ก คือ ปลาเป็ดผสมรำในอัตราส่วน ๔:๑ หรืออัตราส่วนปลาเป็ด ๔๐ เปอร์เซ็นต์ รำ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ หัวอาหาร ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน ๔-๕ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลา วางอาหารไว้บนตะแกรงหรือภาชนะแบนลอยไว้ใต้ผิวน้ำ ๒-๓ เซนติเมตร ควรวางไว้หลายๆจุด
การถ่ายเทน้ำ ช่วงแรกความลึกของน้ำในบ่อควรอยู่ที่ระดับ ๓๐-๔๐ เซนติเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำ สัปดาห์ละ ๑๐ เซนติเมตร จนได้ระดับ ๕๐ เซนติเมตร จึงถ่ายน้ำวันละครั้ง หลังจากอนุบาลลูกปลาในบ่อดินประมาณ ๒ เดือน ปลาจะเติบโตไม่เท่ากัน ใช้อวนลากลูกปลาเพื่อคัดขนาด มิฉะนั้นปลาขนาดใหญ่จะกินปลาขนาดเล็ก
ผลผลิต หลังจากอนุบาลปลาในช่วง ๒ เดือนแล้ว ต้องใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ ๔-๕ เดือน จะให้ผลผลิต ๑-๒ ตัว/กิโลกรัม เช่นเนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน จะได้ผลผลิตมากกว่า ๖,๐๐๐ กิโลกรัม
การจับ เมื่อปลาโตได้ขนาดตลาดต้องการจึงจับจำหน่าย ก่อนจับปลาควรงดอาหาร ๑-๒ วัน
การป้องกันโรค โรคของปลาช่อนที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหา คุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดี ซึ่งสาเหตุเกิดจากการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ โดยการหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที
ผลผลิต
ช่วงเวลาในการเลี้ยงปลาช่อนประมาณ ๘-๙ เดือน สำหรับปลาลูกครอก ส่วนปลาช่อน ที่เริ่มเลี้ยงจากขนาดปลารุ่น ๒๐ ตัว / กิโลกรัม ถึงขนาดตลาดต้องการ ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ ๕ เดือน น้ำหนักจะอยู่ระหว่าง ๐.๖-๑.๐ กิโลกรัม โดยทั่วไปน้ำหนักปลาที่ตลาดต้องการขนาด ๐.๕-๐.๗ กิโลกรัม สำหรับอัตราแลกเนื้อประมาณ ๕-๖ : ๑ กิโลกรัม ผลผลิต ๑๒ ตัน / ไร่ สำหรับปลาผอมและเติบโตช้า เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาช่อน เรียกว่า “ปลาดาบ” นอกจากนี้น้ำที่ระบายออกจากบ่อปลาช่อน ควรนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเลี้ยงปลากินพืช เช่น ปลาบึก ปลานิล ฯลฯ
การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูป
ขั้นตอนเลี้ยงปลา
ปลาช่อนแม้จะเป็นปลากินเนื้อ แต่สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดสำเร็จรูปได้และปลาช่อนที่ได้ จากการเพาะในปัจจุบันลูกปลายอมรับอาหารชนิดเม็ดตั้งแต่เล็ก
อัตราการปล่อย ลูกปลาน้ำหนัก ๒๗-๒๘ ตัว/กิโลกรัม ควรปล่อยในอัตรา ๗๐๐ กิโลกรัมหรือประมาณ ๒๐,๐๐๐ ตัวต่อ ๑ ไร่ ช่วงเวลาที่ทำการปล่อย เช้าหรือเย็น เพราะแดดไม่จัดจนเกินไปและควรคัดลูกปลาให้มีขนาดไล่เลี่ยกันมากที่สุด
อาหารและการให้อาหาร เมื่อปล่อยลูกปลาช่อนลงในบ่อแล้ว ควรปล่อยให้ลูกปลาพักฟื้นจากการลำเลียงประมาณ ๓-๔ วัน จากนั้นจึงเริ่มให้อาหารซึ่งเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำโปรตีน ๔๐-๔๕ เปอร์เซ็นต์โดย ๒ เดือนแรก ให้อาหาร ๓ มื้อ เช้า เที่ยง เย็น แต่ละมื้อให้ประมาณ ๙-๑๐ กิโลกรัม เป็นอาหารเม็ดขนาดเล็ก ช่วงเดือนที่ ๓ และ ๔ ลดโปรตีนลงเหลือ ๓๕-๔๐ เปอร์เซ็นต์ ลดการให้เหลือ ๒ มื้อ คือ เช้าและเย็น โดยให้ปริมาณมื้อละ ๒๐ กิโลกรัม จากนั้นเมื่อปลามีอายุเข้าเดือนที่ ๕ จะให้อาหารเพิ่มเป็นมื้อละ ๓๐ กิโลกรัม ลักษณะการให้อาหารจะเดินหว่านรอบๆบ่อ
โรคปลาและการป้องกัน
โรคพยาธิและอาการของปลาช่อนส่วนใหญ่ ได้แก่
วิธีป้องกันโรค
ในฟาร์มที่มีการจัดการที่ดี จะไม่ค่อยประสบปัญหาปลาเป็นโรค แต่ในฟาร์มที่มีการจัดการไม่ดี ปัญหาปลาเป็นโรคตาย มักจะเกิดขึ้นเสมอ บางครั้งปลาอาจตายในระหว่างการเลี้ยงสูงถึง ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับปลาเป็ด ที่นำมาใช้เลี้ยงในปัจจุบัน คุณภาพมักจะไม่สดเท่าที่ควรและหากมีเศษอาหารเหลือตกค้างในบ่อจะทำให้บ่อเกิด การเน่าเสียเป็นเหตุให้ปลาตาย ดังนั้น จึงควรมีวิธีป้องกันดังนี้ คือ
ต้นทุนการผลิตปลาช่อนที่เลี้ยงด้วยอาหารสด
๑. ต้นทุนผันแปร
– ค่าพันธุ์ปลาที่อัตราการปล่อย ๒,๐๐๐ กิโลกรัม/ไร่ ราคากิโลกรัมละ ๔๕ บาท เป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท
– ค่าอาหารที่อัตราผลผลิตเฉลี่ย ๗ ตัน/ ไร่ และอัตราแลกเนื้อ(๕:๑) อาหารกิโลกรัมละ ๖-๗ บาท เป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท/ ไร่
– ค่าปูนขาว อัตรา ๑๐๐ กิโลกรัม / ไร่ เป็นเงิน ๑๒๐ บาท / ไร่
– ค่ายาและสารเคมี ๑,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ๑,๐๐๐๑,๒๐๐ บาท / ไร่
๒. ต้นทุนคงที่
– ค่าขุดบ่อ ๕,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าก่อคอนกรีตผนังบ่อ ๔๐,๐๐๐ บาท / ไร่
ต้นทุนการผลิตปลาช่อนที่เลี้ยงด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูป
๑. ต้นทุนผันแปร
– ค่าพันธุ์ปลา อัตราปล่อย ๖.๕ ตัว/ตารางเมตร จำนวนปลา ๑๐,๔๐๐ ตัว/ไร่ เป็นเงิน ๑๘,๙๐๐ บาท
– ค่าอาหารที่อัตราผลผลิต ๓ ตัน / ไร่ และอัตราแลกเนื้อ(๑.๗๗:๑) ค่าอาหารเป็นเงิน ๗๓,๐๕๐ บาท
– ค่ายาและสารเคมี ๑,๒๐๐ บาท
– ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ๕๐๐ บาท
๒. ต้นทุนคงที่
– ค่าขุดบ่อ ๕,๐๐๐ บาท / ไร่
– ค่าก่อคอนกรีตผนังบ่อ ๔๐,๐๐๐ บาท / ไร่
การลำเลียง
ใช้ลังไม้รูปสี่เหลียมผืนผ้าภายในกรุสังกะสีกว้าง ๕๘ เซนติเมตร ยาว ๙๔ เซนติเมตร ความสูง ๓๘ เซนติเมตร บรรจุปลาได้ ๕๐ กิโลกรัม สามารถขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกไปทั่วประเทศ จังหวัดสุพรรณบุรีจัดว่าเป็นแหล่งเลี้ยงและส่งจำหน่ายปลาช่อนอับดับหนึ่งของ ประเทศ โดยส่งไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนื และภาคเหนือ มากกว่าภาคอื่นๆ สำหรับภาควันออกเฉียงเหนือต้องการปลาน้ำหนัก ๓๐๐๔๐๐ กรัม และ ๗๐๐๘๐๐ กรัม ส่วนภาคเหนือต้องการปลาน้ำหนักมากกว่า ๓๐๐-๔๐๐ กรัม และ มากกว่า ๕๐๐ กรัมขึ้นไป
แนวโน้มการตลาด
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดีอีกทั้งยัง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ จึงมีผู้นิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย ทำให้แนวโน้มด้านการตลาดดี ปลาช่อนเป็นปลาเศรษฐกิจ ขายได้ทุกขนาด ยิ่งน้ำหนัก ตัวละ ๘๐๐ กรัม ถึง ๑ กิโลกรัม จะได้ราคาดี กิโลกรัมละ ๗๐-๘๐ บาท ถ้าเผาปลาช่อนขายจะขายได้ตัวละ ๙๐-๑๐๐ บาท ปลาช่อนเล็ก ราคากิโลกรัมละ ๕๐-๖๐ บาท แต่ถ้าแปรรูปเป็นปลาเค็ม ปลาช่อนแดดเดียว ราคากิโลกรัมละ ๑๒๐ บาท ความต้องการของตลาดมีมาก สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
ปัญหาอุปสรรค
เอกสารอ้างอิง
ชอบ ประพันธ์เนติวุฒิ. 2518. การเลี้ยงปลาช่อนที่ลงทุนน้อยแต่กำไรมาก. วารสารการประมง ปีที่28 เล่มที่ 1. หน้า 21-24.
ไม่มีชื่อผู้แต่ง. 2544. การเลี้ยงปลาช่อน. กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 17 หน้า.
ยุพินท์ วิวัฒนชัยเศรษฐ์. 2536. การเลี้ยงปลาช่อนที่สุพรรณบุรี.วารสารการประมง ปีที่ 46 ฉบับที่ 4. หน้า 315-319.
ยุพินท์ วิวัฒนชัยเศรษฐ์.2541. ปลาช่อนไทยครองใจผู้บริโภค. วารสารการประมง ปีที่ 51 ฉบับที่ 6. หน้า 563-570.
วันเพ็ญ มีนกาญจน์. 2528.ปลาไทยในสถานแสดงพันธุ์น้ำจืด. สถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หน้า 81.
สุธีร์ พจน์ศิลปชัย.2544. ปลาช่อนสุพรรณบุรี. วารสารการประมง ปีที่ 54 ฉบับที่ 5. หน้า 441-443.
โสภา อารีรัตน์, จารุวรรณ สมศิริ และประสิทธิ์ พัฒนุช 2527. การป้องกันโรคระบาดปลาช่อนที่ สุพรรณบุรี. วารสารการประมง ปีที่ 37 ฉบับที่ 6. หน้า 529-532.
ป้ายคำ : ประมง, เลี้ยงสัตว์