ครูสมทรง แสงตะวัน เกษตรยั่งยืน

ครูสมทรง แสงตะวัน เกษตรกรภูมิปัญญาผู้พลิกฟื้นส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ แห่งตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ได้รับการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 2 ด้านเกษตรกรรม ประจำปี 2545

ครูสมทรง ฝึกฝนและเรียนรู้การทำการเกษตรจากคุณพ่อกล่อมและคุณแม่ผัน แสงตะวัน จนมีความชำนาญ ประกอบกับครูสมทรงเป็นผู้มีความขยัน หมั่นเพียร อดทน ช่างจดจำ ช่างสังเกต ในสิ่งที่คุณพ่อเคยปฏิบัติดูแลสวนส้มโอ ผนวกกับความรู้ ความสามารถด้านการเกษตรของครูสมทรง และการเปิดรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกษตรจากแหล่งต่างๆ ทำให้ครูสมทรง คุณฉวัล ภรรยา และคุณทรงยศ บุตรชาย ทำการเกษตรอย่างรอบคอบ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ชุมชน สิ่งเหล่านี้ทำให้ครูสมทรง สามารถวางรากฐานอย่างมั่นคงให้กับครอบครัวและชุมชน เพื่อสืบสานอาชีพเกษตรกรรมเป็นแบบอย่างของการทำเกษตรยั่งยืน อย่างพอเพียงและมีความสุข

เกษตรยั่งยืน คืออะไร
ในทรรศนะของครูสมทรง เกษตรยั่งยืนคือ การทำเกษตรโดยคำนึงถึงองค์ประกอบหลัก 3 ประการคือ

  1. สิ่งแวดล้อม
  2. การลดต้นทุนการผลิต
  3. สุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค
    ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพึ่งพากัน ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ

1. งดการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี
ครูสมทรง กล่าวว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2520-2527 ครูสมทรงใช้สารเคมีในสวนส้มโอบนพื้นที่ 15 ไร่ และชาวสวนที่นี่ก็ใช้สารเคมีเช่นกัน รวมกลุ่มกันทำสวนส้มโอ 57 ครอบครัว ประมาณ 300 ไร่ “เราใช้กันเยอะเลย เพราะเราเอาเงินเป็นตัวตั้งนะครับ เราหวังว่าเราใช้สารเคมี แมลง จะไม่มาทำลายข้าวของของเรา ทำให้จะได้ผลผลิตเยอะครับ จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย พอทำมาสักระยะ เราจะเห็นผลว่าที่เราทำนี่ ไม่ใช่ ก็คือพวกสิ่งแวดล้อมนี่มันหมดไปเลย โดยเฉพาะพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ในร่องสวน ที่สมุทรสงครามจะเป็นร่อง เป็นคลอง ซึ่งเมื่อก่อนนี้รุ่นคุณพ่อจะใช้ประโยชน์จากร่องสวน กุ้ง หอย ปู ปลา จะอยู่ในร่องสวน ต่อมาภาคเกษตรเราใช้สารเคมีเพื่อให้ได้เงินเยอะๆ ธรรมชาติก็หมดไป พอตอนหลังเรามาเรียนรู้เรื่องสุขภาพด้วย เราต้องเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ทราบสาเหตุเลยว่าเราเป็นอะไรกัน เพราะที่นี่เราจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทุกสิ้นเดือน ทุกวันจันทร์สิ้นเดือน เราจะมาคุยกัน เราก็เลยได้ข้อคิดว่า
“ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันน่าจะเป็นเกษตรที่ยั่งยืนกว่า แล้วเราทำแบบใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีนี่ ต้นทุนมันก็สูง ถึงเราได้เงินมาเยอะก็จริง แต่สุขภาพเราก็แย่ลง อย่างนี้เราน่าจะต้องเอาเงินที่เก็บรักษาได้ มารักษาตัวเองแน่ๆ ก็คิดอย่างนั้น อันนี้ผมตั้งโจทย์ไว้ให้ ผมเป็นประธานกลุ่ม ผมตั้งโจทย์ให้กลุ่ม…”
สิ่งที่ครูสมทรงทำให้สมาชิกกลุ่มเห็นเป็นตัวอย่างคือ “…มาหาวิธีว่าทำอย่างไร จึงจะเปลี่ยนจากปุ๋ยเคมี มาเป็นเกษตรธรรมชาติได้ ก็เลยไปอมรมคิวเซ ที่สระบุรี (ศูนย์เกษตรธรรมชาติคิวเซ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เป็นศูนย์ศึกษาการเรียนรู้การทำเกษตรแบบชีววิธี) ก็ได้ข้อคิดจากนั้นมาเยอะมาก จุดประกายให้ผมมาเยอะเลยว่า จริงๆ แล้วปุ๋ยเคมีไม่จำเป็นต้องใช้มากก็ได้ แล้วก็เรื่องสารกำจัดแมลงก็มีสมุนไพร ซึ่งเป็นสารขับไล่แมลง รักษาสิ่งแวดล้อมด้วย พึ่งพาธรรมชาติด้วย” การงดใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีจึงเป็นประเด็นสำคัญของการทำการเกษตรยั่งยืนในทรรศนะของครูสมทรง

2. ใช้ แมงมุม ปราบไรแดงและหนอนชอนใบ
ครูสมทรง ให้ข้อมูลว่า มีการศึกษาเรียนรู้เรื่องของตัวห้ำ ตัวเบียน การใช้แมลงปราบแมลงในสวนส้มโอจากนักวิชาการ 2 ท่าน คือ ดร.เทวินทร์ กุลปิยะวัฒน์ และ ดร.วิภาดา วังศิลาบัตร จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มาทำวิจัยเรื่องแมงมุมในสวนส้มโอนี้
“ผลการวิจัยเป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างมาก เพราะว่าเราไม่ต้องใช้เคมีเลย เราก็อยู่ได้แล้วครับ…แมงมุมนี่มันหากินทั้งกลางวัน กลางคืน ทำรังอยู่ตามต้นส้มโอ และอยู่ตามพื้นดิน แมงมุมช่วยเราได้มากครับ โดยเฉพาะอาหารของเขาคือ ไรแดง แล้วก็ไข่ของหนอนชอนใบ” ซึ่งไรแดงและหนอนชอนใบนี้เป็นศัตรูสำคัญของต้นส้มโอ หากใช้สารเคมีเพียงเล็กน้อย แมงมุมก็จะตาย การงดใช้สารเคมีจึงได้รับประโยชน์มหาศาลจากแมงมุม

3. ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ แทนการใช้ปุ๋ยเคมี
ครูสมทรง กล่าวว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2520-2527 ที่ใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีในสวนส้มโอนั้น มีรายได้สูงมาก เพราะผลส้มโอดก และจำหน่ายได้ราคาสูง
“…รายได้สูงมากเลยครับ แต่ว่าต้นทุนก็สูงด้วยเหมือนกัน เมื่อเราหักกลบลบหนี้แล้ว ก็เหลือไม่เท่าไหร่หรอกครับ ที่ว่ารายได้สูงเพราะส้มดกมากเลยครับ แต่ต้นจะเริ่มโทรม 10 กว่าปีก็เริ่มโทรมแล้ว ในกลุ่มของผม 12 ปี ส้มโอก็เริ่มตาย ก็เพราะมันดกมาก ก็เพราะมันมีข้อเสียยังงี้ ที่ว่ามันไม่ยั่งยืน มันดกจริงแต่ว่าต้นทุนสูงด้วย แต่ของผมยังอยู่ครับ ผมปลูก ปี 2520 ของผมยังอยู่เลยครับ 30 กว่าปีแล้ว ผลผลิตดี ทำให้รู้ว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ทำให้ต้นไม่โทรม ถึงมาได้ข้อคิดภายหลังว่า ดินก็ไม่ต้องพรวน ตอนหลังเรามาใช้วิธีเลี้ยงหญ้าซะเลยครับ”
ครูสมทรง ปลูกหญ้าในสวนส้มโอเพื่อให้แมลงวางไข่บนใบหญ้า และจะเริ่มตัดหญ้าในสวนส้มโอช่วงที่ส้มโอแตกใบอ่อน ทั้งนี้เพื่อให้แมลงวางไข่บนใบหญ้า แทนที่จะวางไข่บนใบอ่อนของต้นส้มโอ ทั้งนี้เพราะแมลงท้องแก่จะได้ไม่ต้องบินสูง ไข่อ่อนของแมลงเหล่านี้จึงเป็นอาหารของตัวห้ำ ตัวเบียน ซึ่งเท่ากับเป็นการรักษาความสมดุลของสภาพแวดล้อมไว้เป็นอย่างดี

4. ปลูกต้นทองหลางในสวนส้มโอ ช่วยเพิ่มธาตุอาหารไนโตรเจนให้พืช
ครูสมทรง ปลูกต้นทองหลางซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่ว ตามชายคลองที่นำน้ำเข้าสวนส้มโอและร่องสวนมีหญ้าปกคลุมดินด้วย ประโยชน์ของต้นทองหลางคือ “…ในหน้าแล้งไว้พรางแดด เปรียบเสมือนไม้พี่เลี้ยง ฤดูฝนก็ตัดแต่งกิ่ง เอาไปแช่น้ำ ถึงปีเปิดน้ำแห้งแล้วสาดเลนขึ้นมา โดยเฉพาะผลผลิตที่ออกมารสชาติดี จากผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสิน เราไม่เคยเหลือเลยผลผลิต เราตั้งราคาได้ด้วย…”
ที่รากของต้นทองหลางมีกลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถสังเคราะห์สารประกอบที่ให้ธาตุอาหารพืชไนโตรเจนจากอากาศได้ ได้แก่ ไรโซเบียม ที่อยู่ในปมรากพืชตระกูลถั่ว เมื่อไถกลบลงไปในดิน ซากปมรากของต้นทองหลางจะสลายตัวแล้วปลดปล่อยไนโตรเจนและธาตุอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของส้มโอ ส่วนของใบทองหลางโดยเฉพาะใบแก่ นำมาทำปุ๋ยหมักที่ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศได้ดี ช่วยให้รากพืชชอนไชไปหาธาตุอาหารได้ง่าย

5. ทำน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้ในสวนส้มโอ
ครูสมทรงศึกษาวิธีการทำและการใช้น้ำหมักชีวภาพจากแหล่งความรู้หลายแหล่ง เช่น คิวเซ ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และนิสิต นักศึกษา นักวิชาการ ที่เข้ามาศึกษาดูงานที่สวนแตงตะวัน
จากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ครูสมทรงจึงเกิดแนวคิดและทดลองทำน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้เอง ครูสมทรง กล่าวว่า “กุ้ง หอย ปู ปลา เอาไปหมักในถัง 200 ลิตร หมักด้วยกากน้ำตาล ผสมกับโบกาฉิ คือได้มาจากมูลสัตว์ ส่วนผสมมีมูลสัตว์ กระดูกป่น รำละเอียด แกลบดำ ผสมกับน้ำจุลินทรีย์ที่ทำเอง หมักไว้ 7 วัน ได้น้ำหมักชีวภาพอย่างดีเลย”
ครูสมทรง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “นิสิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เอาน้ำหมักชีวภาพไปวิจัยให้ จึงได้เรียนรู้ว่าวัสดุที่ใช้หมักเป็นตัวแปรว่า ธาตุอาหารมากน้อยแค่ไหน การเอาสัตว์ที่มีกระดองมาหมักจะได้สารไคโตซานด้วย” และเมื่อนำดินในสวนส้มโอไปตรวจในห้องปฏิบัติการ พบจุลินทรีย์ที่เป็นสารกำจัดเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคพืช เช่น พบเชื้อราไตรโคเดอร์ม่า ที่ช่วยทำลายเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรครากเน่าของพืช

6. ใช้ขี้แดดนาเกลือเพื่อปรับปรุงรสชาติของส้มโอ
ขี้แดดนาเกลือ คือดินแตกระแหง ล่อนเป็นแผ่นเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่ในนาเกลือ ภายหลังจากเก็บเกลือไปแล้ว ครูสมทรง กล่าวว่า “เมื่อก่อนนักวิชาการก็ต่อต้านเหมือนกัน งานวิจัยเรื่องขี้แดดนาเกลือนี้ เราได้รับรางวัลระดับชาติ ทั้งแพลงตอน ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม มีหลายอย่างมากมายในตัวเดียวกัน ซึ่งเราใช้ในช่วงปรับปรุงคุณภาพ ใช้เวลา 50-60 วัน ก่อนการเก็บเกี่ยวผลส้มโอ เห็นผลเลยครับว่า มันมีรสชาติดี หวาน นิ่ม ไม่กรอบแห้ง นักวิชาการยังบอกอีกว่า ความเค็มทำให้ดินเสีย ผมเห็นคุณพ่อเอาเกลือใส่ส้มโอด้วยซ้ำไป ท่านบอกว่าความเค็มทำให้ส้มโอรสไม่ขม แล้วยังใช้กับผลมะพร้าวที่ก้นแตก พอใส่เกลือไป ก้นก็ไม่แตกและมีผลดก ผมถึงใช้ขี้แดดนาเกลือปรับปรุงรสชาติส้มโอ”

krusomthongmai

ความสำเร็จของการทำเกษตรยั่งยืน
1. มีดินอุดมสมบูรณ์และมีน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ
อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม มีแม่น้ำแม่กลองไหลผ่าน อยู่ห่างจากอ่าวไทยประมาณ 10 กิโลเมตร เกษตรกรทำการเกษตรแบบยกร่องสวน ไม้ผลที่มีชื่อเสียงคือ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม ส้มโอ ชมพู่ มะพร้าว ผักสวนครัว
ครูสมทรง เน้นว่า “ที่ผมทำการเกษตร ผมเน้นไม้ผล…ผมวางแผนปลูกไม้ผลเพราะดินดี น้ำก็สะอาด น้ำขึ้นวันละ 2 ครั้ง น้ำขึ้นมาในร่องสวน ที่นี่น้ำอุดมสมบูรณ์ครับ เมื่อน้ำขึ้นก็กักน้ำไว้ในคลอง ใช้ได้ตามต้องการ ที่นี่จะมี 366 คลอง เชื่อมต่อจากแม่น้ำแม่กลอง แล้วก็จะมีคลองเป็นลำประโดงเล็กๆ ต่อเข้าร่องสวนอีกเป็น 1,000 คลอง พวกเราจะดูแลคลองทุกปี คลองเล็กๆ ถ้าเป็น 2 เจ้าของดูแลร่วมกัน ผลัดกันลอกเลนให้น้ำไหลผ่าน ช่วยกันดูแล เพราะฉะนั้นระบบน้ำเราจึงดีมาตลอด แล้วก็จะยั่งยืน”
แม้ว่าปัจจุบันจะมีถนนตัดผ่านสวนผลไม้ แต่ชุมชนนี้มีข้อตกลงร่วมกันว่า ถนนต้องไม่ปิดคลอง ไม่กั้นทางน้ำ อย่างน้อยต้องมีท่อระบายน้ำ หากเป็นคลองใหญ่ต้องทำสะพานข้ามคลองเพื่อให้เรือพายลอดได้

2. มีชุมชนที่รู้จักแบ่งปันและสนับสนุนหลักพอเพียง
ครูสมทรง ตลอดจนสมาชิกในชุมชนและเกษตรกรภูมิปัญญาที่เป็นเครือข่ายร่วมมือกันก่อตั้ง “มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุทรสงคราม” เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปัจจุบันมหาวิชชาลัยแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้จัดฝึกอบรมความรู้ทางการเกษตรที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงให้แก่ผู้สนใจ จำนวน 10 รุ่น รุ่นละ 30 คน โดยจัดฝึกอบรมรุ่นละ 3 คืน 4 วัน
ครูสมทรง กล่าวว่า “ที่มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุทรสงคราม เราได้ความรู้จากท้องถิ่นที่สะสมมานาน เราขอร้องเขา ให้เขามาร่วมกับเรา ช่วยถ่ายทอดความรู้ให้กับนิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ ที่มาเรียนกับเรา ส่วนมากเราได้ “ใจ” มีคนมาเรียนกันเยอะเลยครับ เราไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง มาช่วยกันด้วยใจ”
เนื้อหาที่ฝึกอบรม เช่น การปลูกส้มโอไร้สารพิษ ผักและผลไม้แช่อิ่ม การแปรรูป อาทิ บอระเพ็ด มะระขี้นก ลูกตำลึง ลูกส้มโอ มะละกอ การเรียนการสอนเน้นภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีการเพาะถั่วงอกด้วยจุลินทรีย์ การทำน้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า แชมพูสระผม ทำสบู่ด้วยจุลินทรีย์ การทำน้ำส้มควันไม้ จุดมุ่งหมายของการฝึกอบรมเพื่อ “เน้นเศรษฐกิจพอเพียง ให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมสามารถอยู่รอดได้ ไม่คิดเอารวย ให้อยู่รอดก่อน แล้วมันจะรวยมาทีหลัง” ครูสมทรง เน้นย้ำ
การเกษตรยั่งยืนคือ การไม่ทำลายธรรมชาติ มีการแบ่งปัน เอื้ออาทรต่อกัน การลดต้นทุนการผลิต และการคำนึงถึงสุขภาพที่ดีของผู้ผลิตและผู้บริโภค “การใส่ปุ๋ยมากมายอย่างไร ไม่สู้การใส่ใจ ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิต แม้ว่าจะไม่มีวิญญาณ เราสามารถเรียนรู้จากเขาได้ ต้นไม้ก็พูดรู้เรื่องได้เหมือนกันนะครับ” ครูสมทรง กล่าวในที่สุด

krusomthongya

หลักคิดและวิธีปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินและอยู่ได้อย่างยั่งยืน
หลักคิดและวิธีปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินและอยู่ได้อย่างยั่งยืนของครูสมทรง มีดังนี้
1. ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตมากว่า 30 ปี
ครูสมทรงและชาวบ้านตำบลบางพรม ได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิตกันมาประมาณ 30 กว่าปี ทำให้คุณครูและชาวบ้านไม่มีเรื่องของปัญหาหนี้สิน และโดยเฉพาะเรื่องของภาคเกษตร ก็ได้ยึดหลักของ เศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการทำเกษตรที่ยั่งยืน คือในเรื่องของผลผลิต เรื่องของคุณภาพ เรื่องของการลดต้นทุน แล้วต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะว่าจะได้ยั่งยืน ชั่วลูกชั่วหลาน

2.ไม่ละทิ้งการทำเกษตรกรรมของบรรพบุรุษ แต่มุ่งพัฒนาสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น
ครูสมทรงมุ่งที่จะพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ดั้งเดิมในท้องถิ่นให้ดีขึ้นคือ เลือกที่จะปลูกส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่เพราะเห็นข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่ สามารถเก็บไว้ได้นาน แกะแล้วร่อนไม่ติดเปลือก กุ้งใหญ่สีขาว รสชาติดี มีเมล็ดน้อยมาก แต่มีปัญหาในเรื่องของเนื้อส้มโอที่มีรสขม เนื้อกรอบแห้ง จึงแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของบรรพบุรุษ การสังเกตจากสิ่งรอบตัว และการนำความรู้ทางวิชาการมาปรับใช้ในพื้นที่การเกษตรของตนเอง ปัจจุบันนี้ ส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ของจังหวัดสมุทรสงคราม ได้กลับมาเป็นที่นิยมของผู้บริโภคกันอีกครั้งหนึ่ง วิธีการปลูกส้มโอให้ได้คุณภาพดี มีวิธีปฏิบัติดังนี้

  1. ปลูกทองหลาง พืชตระกูลถั่ว ประโยชน์หลากหลาย
    การปลูกทองหลางร่วมกับส้มโอโดยปลูกข้างๆ ร่องสวนนั้น ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่บรรพบุรุษได้สั่งสมกันมา ทองหลางเป็นพืชตระกูลถั่วที่ให้ประโยชน์กับส้มโอหลายๆ ด้าน อาทิ ช่วยทำให้โครงสร้างของดินเหนียวโปร่งมากขึ้น เมื่อลอกดินจากท้องร่อง รากที่ตายและใบที่ผุก็เป็นปุ๋ยธรรมชาติให้กับส้มโอ เมื่อถึงฤดูร้อน ใบทองหลางก็ช่วยพรางแสงแดด พอถึงฤดูฝนจึงตัดแต่งกิ่งทองหลางให้โปร่งเพื่อให้ส้มโอปรุงอาหารได้
  2. ใช้หญ้าคลุมดิน รักษาความชื้นและเป็นปุ๋ยจากธรรมชาติ
    ครูสมทรงไม่ถางหญ้าในสวน แต่กลับใช้ประโยชน์จากหญ้าด้วยการใช้หญ้าคลุมดิน เนื่องจากที่รากหญ้ามีจุลินทรีย์ ทำให้ดินร่วนซุย และโปร่ง ช่วยเก็บความชื้น ทำให้ประหยัดการให้น้ำ ถ้ามีหญ้าคลุมดินจะรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้าไม่มีหญ้าปกคลุมดิน ต้องรดน้ำวันเว้นวัน จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เมื่อหญ้ารกก็จะตัดหญ้าแล้วโรยจุลินทรีย์ให้ใบหญ้าย่อยสลาย ได้ปุ๋ยหมักให้กับส้มโออีกด้วย
  3. ใช้ขี้แดดนาเกลือ เพิ่มความหวานให้กับส้มโอ
    ครูสมทรงได้นำภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาคุณภาพของส้มโอด้วยการใช้ ขี้แดดนาเกลือ มาทดลองใช้จนประสบความสำเร็จ คือ ส้มโอไม่มีรสขม เนื้อไม่กรอบแห้ง หวาน แกะแล้วร่อน เนื้อไม่ติดเปลือก นิ่ม ก้นไม่แตก โดยมีวิธีการดังนี้ ให้ใส่ขี้แดดนาเกลือที่โคนต้นส้มโอก่อนเก็บเกี่ยว 2 เดือน คือประมาณเดือนที่ 6 (ส้มโอออกดอกถึงเก็บเกี่ยวได้ใช้เวลา 8 เดือน) ต้นละ 1 กิโลกรัม รดน้ำอาทิตย์ละครั้ง จนกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ ขณะนี้ได้นำไปใช้กับผลไม้ชนิดอื่นๆ เพื่อให้ผลไม้มีรสชาติหวานและคุณภาพดี เช่น ชมพู่ ฝรั่ง และพุทรา เป็นต้น
  4. ตัดหญ้าให้สั้นในช่วงส้มโอแตกใบอ่อน เพื่อให้แมลงวางไข่
    ครูสมทรงได้ค้นพบเทคนิคการดูแลส้มโอจากการสังเกตสิ่งรอบตัวโดยบังเอิญคือ ได้ตัดหญ้าช่วงที่ส้มโอเริ่มแตกใบอ่อน ปรากฏว่าใบอ่อนของส้มโอนั้นเจริญเติบโตได้ดีประมาณ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไม่มีแมลงมารบกวน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แมลงได้วางไข่บนใบอ่อนของต้นหญ้าแทนใบอ่อนของต้นส้มโอ เนื่องจากแมลงท้องแก่ ต้องใช้พลังงานมากจึงบินได้ไม่สูง ประกอบกับที่บริเวณพื้นดินใกล้ต้นหญ้ามีแมงมุม มด กบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก ฯลฯ ช่วยกินไข่แมลงและกินหนอนให้ จึงถือเป็นการเกื้อกูลโดยใช้ระบบชีววิธี ทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมี ต้นทุนการผลิตต่ำและสิ่งแวดล้อมดี โดยเฉพาะผลผลิตที่ไม่ใช้สารเคมี ตลาดมีความต้องการมาก มีผู้มาซื้อผลผลิตถึงที่สวนโดยที่ไม่ต้องไปหาตลาดข้างนอก
  5. แมงมุมมีประโยชน์ ช่วยกำจัดแมลงในสวนส้มโอ
    ครูสมทรงได้ทำงานวิจัยร่วมกับ อ.ดร.เทวินทร์ กุลปิยวัตน์ กับ อ.วิภาดา วังศิลาบัตร กองกีฏวิทยา กรมวิชาการเกษตร ศึกษาเรื่อง การเลี้ยงแมงมุมในสวนส้มโอ เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ก็สรุปว่า แมงมุมหากินทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วทำรังอยู่บนอากาศ ตามต้นส้มโอ และตามพื้นดิน อาจารย์บอกว่า แมงมุมในประเทศไทย 100 กว่าชนิด แต่ที่สวนของครูสมทรงมีถึง 80 กว่าชนิด แมงมุมชอบกินพวกไรแดง ไข่ของหนอนชอนใบ และอ่อนแอต่อยาฆ่าแมลงมาก ซึ่งชาวสวนทั่วไปไม่ทราบ ถ้าใช้ยาฆ่าแมลง ทำให้แมงมุมในสวนตายไปเป็นจำนวนมาก
    การใช้แมงมุมช่วยกำจัดแมลงในสวนส้มโอ จึงเป็นวิธีการทางชีววิธี เกิดความเกื้อกูลและความสมดุลของสิ่งมีชีวิต ทำให้ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง จากเดิมที่ปลูกส้มโอ 15 ไร่ ใช้สารเคมีเดือนละ 1,500 บาท จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตไปได้อย่างมาก

3. ปรับเปลี่ยนจากเคมีเป็นอินทรีย์ ลดต้นทุนการผลิต รักษาสิ่งแวดล้อม
สาเหตุที่ครูสมทรงปรับเปลี่ยนจากใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมาเป็นการผลิตส้มโออินทรีย์ก็เพราะว่า หลังจากที่ใช้สารเคมีมาตั้งแต่เริ่มปลูกส้มโอตั้งแต่ปีพ.ศ. 2520-2527 เห็นว่าสิ่งแวดล้อมเริ่มจะเสียแล้ว ส้มโอเริ่มโทรมลง ดินแข็ง ไม่มีคุณภาพ เมื่อใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย จึงต้องเปลี่ยนแปลงมาใช้จุลินทรีย์ Em (Effective Microorganism) หลังจากนั้นประมาณสัก 3 ปี ก็เริ่มมีแมลงที่เกื้อกูลในธรรมชาติ โดยเฉพาะตัวห้ำ ตัวเบียน เช่น มด แมงมุม เต่าทอง กบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก ก็จะมาอยู่ที่สวนช่วยกำจัดแมลงให้ ทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีในการผลิตส้มโอเลย
ส่วนรายได้ของส้มโอที่ไม่ใช้สารเคมีกับใช้สารเคมี รายได้ต่างกันในแง่ที่ว่า ถ้าใช้สารเคมี รายได้ดีจริง ผลผลิตได้มาก แต่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่ม ราคาก็สูงขึ้น พวกสารฆ่าแมลง แมลงก็ดื้อยา ก็ต้องเปลี่ยนตัวยา ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น พอใช้ไปนานๆ ผลผลิตเริ่มลดลง ดินแข็งตัว น้ำไม่ซึมผ่านตลอด ทำให้ผลผลิตลดลง แต่ต้นทุนยังสูงขึ้น
ส่วนการผลิตส้มโออินทรีย์ เมื่อใช้จุลินทรีย์ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ไม้พี่เลี้ยงเช่น ทองหลาง ช่วยพรางแสง ช่วยเก็บความชื้นในดิน ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ในขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในแง่ของความแข็งแรงของต้นส้มโอ ต้นที่ใช้ปุ๋ยเคมีจะมีอายุสั้นกว่าต้นที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ โดยต้นที่ใช้ปุ๋ยเคมี มีอายุไม่เกิน 12 ปี ก็จะตาย ส่วนต้นที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ มีอายุยืนถึง 40-50 ปี ก็ยังสามารถให้ผลผลิตได้

krusomthongpaw

การเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพเกษตรให้ลูกหลาน/เกษตรกรรุ่นใหม่
วิธีการเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพเกษตรให้ลูกหลาน/เกษตรกรรุ่นใหม่ของครูสมทรง ได้แก่
1. สนับสนุนให้เด็กในท้องถิ่นรักแผ่นดินถิ่นกำเนิดและรักอาชีพเกษตร
ที่โรงเรียนของครูสมทรง เน้นการสอนให้เด็กนักเรียนรักท้องถิ่น เรียนรู้กับบรรพบุรุษ ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมควบคู่กันไป สอนให้เด็กขยันหมั่นเพียร รู้จักการทำมาหากิน ฝึกอาชีพให้โดยเฉพาะภาคเกษตร เพราะว่าตำบลบางพรมส่วนมากแล้วทำภาคเกษตรถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเด็กส่วนมากนี้ ถ้าไม่ได้ไปเรียนต่อที่สูงๆ ขึ้นไป ก็จะได้นำจุดนี้มาประกอบอาชีพ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

2. วิธีการปลูกฝังเด็กๆ ให้รักอาชีพเกษตรคือ สอนให้เด็กปฏิบัติจริง
วิธีการสอนให้เด็กๆ รักอาชีพเกษตรนั้นง่ายมาก คือทำให้ดู แล้วสอนให้เขาปฏิบัติจริง เช่น การตอนกิ่ง การขยายพันธุ์พืช การเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงปลา การทำน้ำชีวภาพ การทำปุ๋ยหมัก ส่วนหนึ่งนำมาใช้ที่โรงเรียน ส่วนหนึ่งแบ่งให้เด็กไปใช้ที่บ้าน อีกส่วนนำไปจำหน่าย เมื่อขายได้เท่าไร ก็แบ่งให้เด็กส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายในโรงเรียน

3. นักศึกษาเรียนจบแล้วต้องกลับไปพัฒนา เรียนรู้และรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเอง
ถ้านักศึกษาแต่ละท้องถิ่น ได้กลับไปเรียนรู้ ได้พัฒนาภูมิปัญญาแต่ละท้องถิ่นของตนเองจากบรรพบุรุษ ได้นำวิชาความรู้ที่ตนได้เรียนมากลับมาช่วยพัฒนาท้องถิ่น เพราะแต่ละท้องถิ่นจะมีภูมิปัญญาซึ่งมีหลากหลาย ถ้านักศึกษากลับมาช่วยกันดูแลท้องถิ่นของตนเอง ลูกหลานจะต้องไม่ทิ้งถิ่นไปหากินที่อื่น ก็จะทำให้หมู่บ้านของเรากินดีอยู่ดี และจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น

4. สถาบันการศึกษาสนับสนุนให้นักศึกษาฝึกงานเรียนรู้ภาคปฏิบัติจากเกษตรกร ให้เข้าใจและรักอาชีพเกษตรกรรม ผลักดันให้กลับคืนสู่ท้องถิ่นของตนเอง
นักศึกษาถือเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ ถ้านักศึกษาได้มาฝึกงานเรียนรู้ภาคปฏิบัติกับเกษตรกร จะทำให้ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกร ได้ความรู้หลากหลายซึ่งบางอย่างไม่มีในตำราเรียน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาความรู้ภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติระหว่างเกษตรกรกับนักศึกษา ทำให้มีประโยชน์มาก และถ้ามีใจรักอาชีพเกษตรด้วย เมื่อเรียนจบแล้วก็จะได้นำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมากลับมาพัฒนาท้องถิ่น ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นยังมีที่รกร้างว่างเปล่าอยู่อีกมาก

แนวทางและวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาชีพเกษตร
แนวทางและวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาชีพเกษตรของครูสมทรง มีดังนี้
1. ทำเกษตรโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
การทำการเกษตรแบบชาวบ้าน ไม่ต้องใช้เนื้อที่มาก ให้เน้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกในสิ่งที่เรากิน กินในสิ่งที่เราปลูก เหลือแล้วแบ่งปันกัน เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ยังใช้ได้ดีกับทุกหมู่ทุกเหล่า โดยเฉพาะเกษตรกร เน้นพอมี พอกิน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยมาก ก็จะอยู่ได้อย่างสบาย แล้วก็อยู่ได้อย่างมีความสุข ใช้ระยะเวลาหน่อยหนึ่ง แต่ต้องมีใจรักด้วย

2. รวมกลุ่มเพื่อร่วมคิด ร่วมทำ แบ่งปัน และร่วมแก้ปัญหา
นอกจากแต่ละครอบครัวทำเกษตรโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว การรวมกลุ่มกันก็สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนได้ เพื่อช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ปัญหา แล้วแบ่งปันผลประโยชน์กัน อย่างเช่นกลุ่มของครูสมทรง จะนัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทุกวันจันทร์ของสิ้นเดือน เพื่อมาปรึกษาหารือกันในเรื่องต่างๆ สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีเงินทุน แต่เราก็ได้ความคิดจากหลายๆ คนมาช่วยกันแก้ปัญหา และทำให้เราอยู่กันอย่างมีความสุขเหมือนพี่น้องกัน

3. คุณสมบัติของผู้นำกลุ่ม
ครูสมทรงมองเรื่องของการจัดตั้งกลุ่มและการเป็นผู้นำกลุ่มไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้นำกลุ่มที่ดีต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  1. ต้องสร้างศรัทธาด้วยการซื่อสัตย์สุจริต พูดจริงทำจริง เสียสละ
    ผู้นำต้องสร้างศรัทธาก่อน โดยเฉพาะครูสมทรงที่บอกว่าเริ่มจากศูนย์ คือ ไม่มีเงินทองมากมาย ครูสมทรงต้องสร้างศรัทธาจากตัวเอง คือ หนึ่งต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต พูดจริงทำจริง สองต้องมีความเสียสละให้ ถ้าเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม เช่น ขอพื้นที่ทำถนนหนทาง หรือขอสร้างศาลาที่ใช้ฝึกอบรม ครูสมทรงก็ยกให้ ทำให้ชุมชนเกิดความศรัทธา
  2. ให้โอกาส ให้กำลังใจกัน ช่วยเหลือกัน
    ผู้นำต้องมีกัลยาณมิตรกับทุกคน ต้องพูดจาให้กำลังใจกัน ให้โอกาสกัน ยกย่องกัน พูดสิ่งดีๆ พูดจริงทำจริง อย่างคนที่ทำแล้วล้มเหลว เขาปลูกแล้วได้ผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ เขาขายไม่ได้เลย เราต้องเข้าไปดูแล ต้องให้กำลังใจเขา ไปช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นการสร้างศรัทธาไปในตัวด้วย แล้วก็ไว้ใจกันด้วย
  3. ทำให้ดู เปรียบเทียบให้เห็น พิสูจน์ได้จริง
    การที่จะให้สมาชิกปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบพอเพียง ครูสมทรงต้องทำให้เขาเห็นว่าทำได้จริงๆ เช่น พื้นที่ 1 ไร่ ถ้าปลูกส้มโอจะให้ผลผลิตสูงกว่ามะพร้าว ครูสมทรงก็จะเปรียบเทียบให้ดูว่า มะพร้าวให้ผลผลิตต่อต้นปีละไม่เกิน 300 บาท แต่ถ้าปลูกส้มโอ จำนวนต้นเท่ากันแต่ต้นส้มโอให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ซึ่งมากกว่า 10 เท่าตัว แล้ว 1 ไร่ปลูกส้มโอ 40 ต้น เท่ากับมะพร้าว 40 ต้น ผลผลิตเมื่อหักลบกลบหนี้ หักต้นทุนแล้วเหลือไม่ต่ำกว่า 5-6 หมื่นบาทต่อปี นอกจากนี้ยังสามารถปลูกผักกินเองได้ เหลือก็ขายได้ ส่วนในคลองก็เลี้ยงปลาได้อีก

4. สมาชิกกลุ่มต้องขยัน อดทน ประหยัด และไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข
สมาชิกกลุ่มเองก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าผู้นำกลุ่มเช่นกัน สมาชิกกลุ่มต้องมีความมุ่งมั่น มีความขยัน อดทน แล้วประหยัด ถ้าเกษตรกรไม่ยุ่งกับการพนัน อบายมุขต่างๆ รับประกันได้เลยว่า จะไม่มีหนี้สิน แล้วก็ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่หลงตัวเอง ไม่ตามกระแสสังคม ให้ยึดในหลักเศรษฐกิจพอเพียง เดี๋ยวขยายไปเองได้ ได้เรื่อยๆ ไม่มีพลาดเลย

5. กลุ่มต้องช่วยกันวางแผนสำหรับพัฒนาชุมชน
กลุ่มได้มีการช่วยกันวางแผนพัฒนาชุมชน เช่น การทำถนน การพัฒนาในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องวิถีชีวิตให้คงเดิมไว้ เพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจังหวัดสมุทรสงครามมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง Home stay ยังเป็นห่วงกันเรื่องของที่ดินเพราะว่า มีผู้มีสตางค์มากว้านซื้อและให้ราคาสูงมาก แต่ก็มีบางคนบอกว่า จะเก็บที่ดินไว้ให้เป็นมรดกของลูกหลาน เพราะเขาอยู่ได้ พอมีพอกิน ก็มีความสุขแล้ว พอในกลุ่มได้มาทำเกษตรธรรมชาติ ทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็คิดว่าได้มาถูกทางแล้ว ทางที่จะทำให้หนี้ลดลงได้ จนกระทั่งหนี้หมดไป เพราะต้นทุนต่ำ ต้องใช้เวลาสักหน่อยหนึ่งแต่ว่าจะดีไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน

krusomthonghum

แนวทางและวิธีการสร้างเครือข่ายของกลุ่มอาชีพเกษตร
แนวทางและวิธีการสร้างเครือข่ายของกลุ่มอาชีพเกษตรของครูสมทรง มีดังนี้
1. ขยายเครือข่ายด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ครูสมทรงเป็นประธานกลุ่มส้มโอไร้สารพิษ มีสมาชิก 57 สวน ประมาณ 200 กว่าไร่ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2520 ปัจจุบันมีเครือข่ายประมาณ 18 กลุ่มด้วยกัน เฉพาะจังหวัดสมุทรสงคราม ปัจจุบันพื้นที่การปลูกส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ทั้งหมดประมาณ 9 พันกว่าไร่
ขณะเดียวกันก็ยังได้ขยายเครือข่ายไปทั่วทั้งจังหวัด และเกษตรกรใกล้เคียง นอกจากนี้ก็ยังมีการสอนเด็กๆ ในโรงเรียนได้เรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของภาคเกษตร โดยเน้นให้เด็กทำเรื่องของวิชาชีพ ถึงจะมีพื้นที่น้อย แต่ก็พัฒนาให้เกิดผลผลิตสูงสุดได้ นอกจากนี้จะมีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทุกวันจันทร์ของสิ้นเดือน จะมีเกษตรกรใหม่ๆ เข้ามาร่วมประชุม รวมถึงเครือข่ายจังหวัดใกล้เคียงจะคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ เช่น มาช่วยกันเป็นวิทยากร เวลามีคนมาอบรมหรือมาดูงาน เป็นต้น

2. ตั้งศูนย์เรียนรู้ มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่น
ที่บ้านของครูสมทรงได้มีการรวมตัวกับกลุ่มชาวบ้านสาขาอาชีพต่างๆ จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป ได้แก่ความรู้ด้านต่างๆ 6 ภาควิชา ได้แก่ การทำขนมไทย ผักและผลไม้แช่อิ่ม การทำนาเกลือ การทำน้ำตาลมะพร้าว การทำปุ๋ยชีวภาพ การทำน้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาซักผ้า เป็นต้น ทุกคนมาช่วยเป็นวิทยากรด้วยใจ ไม่ได้คิดเงิน และมุ่งให้ความรู้กับเด็กหรือเกษตรกรที่สนใจนำไปเป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับตนเอง

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อย
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยของครูสมทรง มีดังนี้
1. รัฐบาลควรส่งเสริมการรวมกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ของเกษตรกรรายย่อย
เกษตรกรต้องรวมกลุ่ม ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันตัดสินใจ ผลประโยชน์แบ่งปันกัน จะทำให้ไม่มีหนี้สิน แต่ถ้ามีหนี้สินแล้วช่วยกันทำจริงๆ การรวมกลุ่มก็จะเกื้อกูลกันและพึ่งพากันได้ สำหรับกลุ่มของครูสมทรงได้จัดตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ เก็บเงินจากเกษตรกร นำมาหมุนเวียนกันใช้ ช่วยกันผลิต ช่วยกันขาย และเน้นเรื่องคุณภาพของผลผลิต ลูกค้าก็จะมาหาเอง โดยเฉพาะให้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง อย่าฟุ้งเฟ้อ ทำอะไรให้มีภูมิคุ้มกัน คิดให้รอบคอบ โอกาสที่จะขาดทุน หรือเป็นหนี้สินก็น้อย

2. รัฐบาลดูแลให้กลุ่มแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างเป็นธรรม
ยกตัวอย่างกลุ่มของครูสมทรงจะแบ่งปันผลประโยชน์ โดยมีการปรึกษาหารือร่วมกัน ในการประชุมทุกวันจันทร์ของสิ้นเดือน เมื่อมีคนมาศึกษาดูงาน ครั้งละมากๆ ก็จะกระจายงานไปตามความชำนาญและความสามารถของคนในกลุ่ม เช่น ใครทำ Home stay ก็จะกระจายจำนวนคนที่เข้าพักกันไป ถ้ารับประทานอาหารเป็นกลุ่มใหญ่ ก็จะมีกลุ่มแม่บ้านรับทำอาหารให้ ใครมีฝีมือในด้านทำขนม ก็ให้มาจำหน่ายที่ศูนย์สินค้า OTOP เป็นการช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ผลประโยชน์ก็แบ่งปันกัน กระจายรายได้ทั่วกัน ก็อยู่กันได้อย่างมีความสุข เพราะไม่เอาเปรียบกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน

วันนี้บ้านของครูสมทรง แสงตะวัน เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่มีผู้คนเดินทางมาศึกษาดูงาน
จากจุดเริ่มต้นของครูคนหนึ่ง ที่มีความตั้งใจดี มุ่งหวังให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มเกษตรกร ใน ต.บางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ปลดแอกจากพ่อค้าคนกลาง ครูหนุ่ม จึงตัดสินใจ ซื้อที่ดินแปลงแรก เพื่อทำเกษตรที่พึ่งพิงธรรมชาติ
เเนวคิด คือ อยากจะยกระดับเกษตรกร ให้กินดีอยู่ดี ให้รู้จักการจัดการ ก็ตามเเนวพระราชดำหริในหลวง ใช้ได้เลยไม่มีผิดเลย อยู่ได้เลย ไม่ต้องเน้นรวย เอาอยู่รอดก่อน เเล้วมีการเเบ่งปันด้วย มีการให้ความรู้กันอะไรกันอย่างนี้นะ มีที่น้อยๆ ทำอย่างไรให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด
ความตั้งใจของคนเป็นครูและเกษตรกร ที่มีมาตั้งแต่ยังหนุ่ม สำเร็จลุล่วง หลังจากทำงานหนักมา 37 ปี

ท่านที่สนใจสามารถติดต่อ ครูสมทรง แสงตะวัน ได้ที่ บ้านเลขที่ 9/3 หมู่ที่ 4 ตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 75120 โทรศัพท์ (089) 829-7100

ป้ายคำ :

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด ปราชญ์ของแผ่นดิน

แสดงความคิดเห็น