จิงจ้อหลวงเป็นไม้เลื้อย ทอดไปตามพื้นดิน หรือเลื้อยพันไปกับต้นไม้อื่น ลำต้นและใบมีขน แผ่นใบแยกเป็น 5-7 แฉกคล้ายรูปมือ แต่ละแฉกมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม ดอกออกเป็นช่อ บางครั้งอาจพบที่เป็นดอกเดี่ยว ดอกสีเหลืองเด่น สะดุดตา มักพบทั่วไปเป็นจำนวนมากตามป่าผสมผลัดใบ ชายป่า ริมลำธาร ออกดอกราวเดือนตุลาคม-เมษายน
จิงจ้อ เป็นชื่อไม้เถาประเภทเถาเครือ มีหลายชนิด มักเรียกตามสีของดอก เช่น จิงจ้อแดง จิงจ้อขาว จิงจ้อเหลือง ฯลฯ บางถิ่นเรียก จิงจ้อขาว ว่า จิงจ้อเหลี่ยม เพราะลําต้นเป็นเหลี่ยม และบางถิ่นเรียก จิงจ้อเหลือง ว่า จิงจ้อใหญ่ หรือ จิงจ้อขน เพราะดอกมีขนาดใหญ่และลำต้นมีขนแข็ง นอกจากนี้ ยังมี จิงจ้อหลวง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับ จิงจ้อใหญ่. ยอดของจิงจ้อบางชนิดใช้กินเป็นผัก รากของจิงจ้อขาวใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ รากดิบของจิงจ้อเหลืองช่วยเจริญอาหาร และทุกส่วนของต้นใช้แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Scientific Name Merremia vitifolia Haller f.
ชื่อวงศ์ CONVOLVULACEAE
ชื่อเรียกอื่น จิงจ้อขน จิงจ้อหลวง จิงจ้อใหญ่
ลักษณะ
ไม้เถา มักทอดเลื้อยต่ำๆ ลำต้นกลม ตามกิ่งก้านมีขนแข็งสีขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน กระจายทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว รูปเกือบกลม กว้าง 5-16 ซม. ยาว 5-18 ซม. โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นแฉกรูปพัด 5-7 แฉก ปลายแหลมและมีติ่งสั้น มีขนประปรายทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 2-15 ซม. ดอกสีเหลืองสด ออกเป็นช่อตามง่ามใบ มักมี 1-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 1-15 ซม. ก้านดอกยาว 0.8-2 ซม. กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยปากแตร กว้าง 4-6 ซม. ที่กลางกลีบมีเส้นแขนง เป็นแถบเห็นได้ชัด อับเรณูบิดเป็นเกลียว ผลแห้งกึ่งกลม ขนาดยาว 10-25 มม. ผิวค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนัง สีคล้ายฝาง มีช่องเปิด 4 ช่อง เมล็ดมี 4 เมล็ดหรือน้อยกว่า ยาว 6-7 มม. สีดำหรือน้ำตาลดำ ผิวเกลี้ยง
การกระจายพันธุ์
พบตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน จนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยพบตามที่แห้งแล้ง ทุ่งหญ้า ไร่ร้าง ป่าเบญจพรรณ ริมฝั่งน้ำและสองข้างทาง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเล จนถึง 500 เมตร ระยะการออกดอกระหว่างเดือนตุลาคม-มีนาคม
ประโยชน์
รากรับประทานดิบเป็นยาเจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทั้งต้นแก้อาการทางเดินปัสสาวะอักเสบ
แหล่งข้อมูล
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2
ป้ายคำ : ไม้ดอก