แพทย์หญิงทานทิพย์ ธำรงวรางกูร คุณหมอนักพัฒนา แห่งมูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี จังหวัดขอนแก่น ผู้สร้างแนวคิดให้ชาวบ้านหันมาพัฒนาชีวิต ด้วยการพึ่งพาตนเอง ด้วยพบว่าสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่าง มีปัจจัยมาจากปัญหาความยากจน ทัศนคติ และความด้อยโอกาส คุณหมอจึงสนใจในการสร้างสุขภาวะ ออกแบบกิจกรรมสร้างสุขภาพ และการทำเกษตรแบบออมดิน, ออมน้ำ, ออมต้นไม้, ไม่สร้างภาระให้สิ่งแวดล้อม จนสามารถช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ ของชุมชนยากจนจำนวน กว่า 70 หมู่บ้าน ให้กลายเป็นหมู่บ้านพึ่งตนเองได้ถึงกว่า 25 หมู่บ้าน นำไปสู่การขยายเครือข่ายพหุภาคี 5 จังหวัด โดยการใช้หลักธรรม นำชีวิตไปสู่ความพอเพียง ติดตามเรื่องราวของแพทย์หญิงที่ไม่ใช่แค่แพทย์รักษาโรค แต่นำพาชุมชนไปสู่ทิศทางของการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง และยั่งยืนได้
แพทย์หญิงทานทิพย์ และนายแพทย์อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร คู่ชีวิตคุณหมอนักพัฒนา ผู้กระตุกแนวคิดให้ชาวบ้านหันมาพัฒนาชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเอง ด้วยพบว่าสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างมีปัจจัยมาจากปัญหาความยากจน ทัศนคติ และความด้อยโอกาส ทั้งสองจึงสนใจในการสร้างสุขภาวะ ออกแบบกิจกรรมสร้างสุขภาพและการทำเกษตรแบบออมดิน ออมน้ำ ออมต้นไม้ ไม่สร้างภาระให้สิ่งแวดล้อม จนสามารถช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนยากจนจำนวน 70 หมู่บ้าน ให้กลายเป็นหมู่บ้านพึ่งตนเองได้ถึง 25 หมู่บ้าน นำไปสู่การขยายเครือข่ายพหุภาคี 5 จังหวัด โดยการใช้หลักธรรม นำชีวิตไปสู่ความพอเพียง
แพทย์หญิงทานทิพย์ ธำรงวรางกูร เป็นคนกรุงเทพฯ จบแพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมรสกับนายแพทย์อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น
เรื่องราวของคุณหมอนักพัฒนาทั้งสองท่านนี้ เริ่มต้นเมื่อปี 2529 ปีที่แพทย์หญิงทานทิพย์ เข้ามาประจำที่โรงพยาบาลอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น
อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีประชากร 43,000 คน ร้อยละ 90 ของประชากร มีอาชีพเกษตรกรรม ส่วนที่เหลือประกอบอาชีพค้าขาย ประมง รับจ้างและรับราชการ
ปี 2534 ทีมสุขภาพอำเภออุบลรัตน์ ทำวิจัยในหมู่บ้าน พบว่าคนไข้ในช่วงนั้นแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม
งานศึกษาวิจัยนี้มีข้อค้นพบที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ สาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากวิกฤตชีวิตในชุมชน การเอาเงินเป็นตัวตั้ง โดยเป็นทั้งตัวชี้วัดและเป็นเป้าหมายของการพัฒนา ผลที่ตามมาทำให้อยากรวย แต่นอกจากไม่รวยแล้ว ยังให้ผลตรงกันข้าม คือมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น รายได้ที่คิดว่าจะได้เพิ่มก็ไม่เพิ่ม ไม่มีเงินออม หนี้สินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ความอยากรวยทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
สภาพดินเลว น้ำแล้ง ป่าหมด มลภาวะมากมาย ทั้งจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ความที่อยากรวยทำให้ต้องอพยพแรงงานไปที่อื่น ทำให้ครอบครัวแตกกระจาย ชุมชนล่มสลาย เด็กๆ ไม่มีคนดูแล ขาดสารอาหาร เกิดปัญหาเรื่องยาเสพติด ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง เกิดความเครียด ความเหงาและเจ็บป่วย ผู้ที่อพยพแรงงานไปที่อื่นก็ติดโรคเอดส์กลับมา ทุกปัญหาล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพในชุมชนของอำเภออุบลรัตน์
การมีคนเจ็บป่วยล้นโรงพยาบาล มีผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรในโรงพยาบาลโดยตรง ทำให้รายจ่ายของโรงพยาบาลสูงขึ้น ชาวบ้านยากจนก็ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา โรงพยาบาลมีหนี้สินพอกพูน และเงินออมก็ลดลง การค้นหาแนวทางช่วยชุมชนให้พ้นทุกข์เป็นโจทย์ที่แพทย์หลายคนในโรงพยาบาลช่วยกันหาทางแก้ไข
ปี 2536 คุณหมอทานทิพย์และทีมงานสุขภาพได้มีโอกาสไปเรียนรู้จาก “ปราชญ์ชาวบ้าน” เช่น พ่อมหาอยู่ สุนทรชัย ที่จังหวัดสุรินทร์ พ่อผาย สร้อยสระกลาง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งสองเป็นเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านพหุภาคีภาคอีสาน ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญและนครราชสีมา คุณหมอพบว่าปราชญ์เดินดินเหล่านี้พัฒนาและวิจัยชีวิต จนสามารถหลุดออกจากวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติทางสังคม และวิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยยึดแนวทางชีวิตพอเพียง ทำให้มีรายจ่ายลดลง รายได้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง เงินออมเพิ่มขึ้น มีสิ่งแวดล้อมดีขึ้น มีครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นแนวทางพาให้ชุมชนเข้มแข็ง กลายเป็นคนมีอยู่มีกิน มีเพื่อน มีเงิน มีปัญญาในการแก้ปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือ มีคุณธรรม มีจิตสาธารณะที่อยากจะเห็นญาติสนิท มิตรสหายและพี่น้องคนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นแบบพวกเขาบ้าง
ปี 2538 คุณหมอมีโอกาสทำงานวิจัยและพัฒนาในตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตดี จังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นจึงก่อตั้งศูนย์ค้ำคูณ เพื่อเป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของปราชญ์ท้องถิ่นในภาคอีสาน เป็นสถานที่บำบัดรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ที่ฝึกอาชีพนวดแผนโบราณ จำหน่ายยาสมุนไพร เพาะพันธุ์กล้าไม้ ตลอดจนเป็นที่ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ด้วย
ประสบการณ์จากศูนย์ค้ำคูณ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณหมอตัดสินใจลาออกจากราชการในปี 2540 เพื่อทุ่มเททำงานเพื่อสังคมได้เต็มที่ ในขณะที่คุณหมออภิสิทธิ์ยังคงทำงานในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์ เพื่อหนุนเสริมการทำงานของคุณหมอทานทิพย์
แม้รูปแบบงานจะต่างกัน แต่กลับมีเส้นทางบรรจบกัน คู่ชีวิตทั้งสองตัดสินใจร่วมกันว่าจะการเลือกเป็นนักวิชาการ นักพัฒนาสังคม โดยไม่นำวิชาชีพแพทย์ไปใช้ในเชิงธุรกิจ
“ดิฉันเคยหลงทางเข้าไปอยู่ในระบบเศรษฐกิจตาโต คือเห็นเงินแล้วตาโต ระบบนี้บอกดิฉันว่า ถ้ามีเงินมากก็จะมีความสุขมาก ถ้ามีเงินน้อย ความสุขก็จะน้อยตามไปด้วย ดังนั้นถ้าอยากมีเงินมาก หมอก็จะต้องมีคนไข้มากๆ หมอต้องบอกคนไข้ว่า…เป็นอะไรรีบไปหาหมอ…ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ โรงพยาบาลน้ำพองที่ดิฉันเคยอยู่เมื่อปี 2528 และโรงพยาบาลอุบลรัตน์ ที่ดิฉันเป็นหมอและเป็นผู้บริหาร จึงเต็มไปด้วยคนไข้ ทั้งคนไข้ในและคนไข้นอกเวลาราชการ” คุณหมอทานทิพย์ ให้เหตุผลของการตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางชีวิต
หลักธรรมะและความพอเพียง
การเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 14 ปี จนถึงปัจจุบัน ทำให้คุณหมอทานทิพย์และคุณหมออภิสิทธิ์ เริ่มงานเพื่อสังคม เรียกว่า โครงการชุมชนเป็นสุข” ในปี 2545 กำหนดปรัชญาการทำงาน “สร้างสุขภาวะดีที่ยั่งยืน ด้วยวิถีชีวิตที่พอเพียง” โดยนำหลักธรรมะ “4 อ” มาเป็นยุทธวิธีในการทำงาน
ผลของการปฏิบัติธรรมตามหลัก “4 อ” จะทำให้เกิดหัวใจธรรมชาติ อยู่แบบธรรมชาติ ให้สรรพสิ่งเกื้อกูลกัน ทำจากเล็กไปหาใหญ่ ทำจากง่ายไปหายาก ไม่นานเกินรอ ชีวิตก็เปลี่ยนไป จนมีอยู่มีกิน มีเพื่อน มีเงิน มีความสุขจากการมีหลักประกันในชีวิตเพิ่มขึ้น มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชุมชนที่เข้มแข็ง มีสิ่งแวดล้อมดี มีความภาคภูมิใจ มีอิสรภาพ และมีความสามารถในการอยู่ร่วมกับสรรพสิ่ง ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
เสริมสร้างชุมชนเป็นสุข
หลังภาวะเศรษฐกิจผันผวนในปี 2540 งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่าภาคชนบทเป็นภาคที่เสียหายน้อยที่สุด ชนบทกลายเป็นที่พึ่งพิงของแรงงานที่หวนกลับบ้านเกิด ผลงานวิจัยและจำนวนแรงงานที่กลับบ้านเกิด ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นในแนวคิดที่ว่า ชนบทไทยมีทุนทางสังคม ประกอบด้วยหมู่บ้านที่มีภูมิปัญญา มีทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ ช่วยให้เกษตรกรผลิตอาหาร พืชผลหลายชนิดพอเพียงแก่การดำรงชีพ หมู่บ้านจึงควรเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาแบบองค์รวม
แต่ผลการวิจัยเชิงคุณภาพของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ยังไม่สามารถพัฒนาชุมชนชนบทให้มีความสุขได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน เพราะขาดกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและมีคุณภาพ ดังนั้น “โครงการชุมชนเป็นสุข” จึงเป็นความพยายามเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป โดยอาศัยการวิจัย สำรวจสถานการณ์ การจัดประชุมระดมความคิดจากนักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน และเครือข่ายภาคีด้านการพัฒนาสังคม แล้วสังเคราะห์ออกมาเป็นแผนงานกลาง เพื่อนำมาพัฒนาโครงการ มุ่งต่อยอดการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมเชื่อมโยงกับปัจจัยแวดล้อม และเน้นการบูรณาการกิจกรรมการพัฒนาที่มีอยู่เดิมแล้ว ให้ไปสู่การเรียนรู้และสุขภาวะ
และเพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวขึ้น จึงมีการจัดตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี จังหวัดขอนแก่น โดยคุณหมอทานทิพย์ ทำหน้าที่เลขาธิการมูลนิธิ และยังเป็นผู้จัดการโครงการชุมชนเป็นสุขภาคอีสาน อีกด้วย
ทิศทางของโครงการ คลุมประเด็นหลัก ต่อไปนี้
กิจกรรมของมูลนิธิฯ มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่
ผลแห่งความเพียร
ตลอดระยะเวลาของการทำงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายพหุภาคี 5 จังหวัด คุณหมอทานทิพย์ คุณหมออภิสิทธิ์และทีมงาน ได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับจากปราชญ์ชาวบ้าน มาประยุกต์ใช้ ขยายผลในอำเภออุบลรัตน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน ทั้งด้านวิธีคิดและวิธีปฏิบัติ มีเครือข่ายทุกระดับ จัดเวทีเด็ก ให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้ และปฏิบัติ ทำให้กลุ่มเด็กรักถิ่นอุบลรัตน์ มีส่วนร่วมในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน เช่นเดียวกับผู้ใหญ่
หมู่บ้านซึ่งเป็นเครือข่ายในชุมชนที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ในระดับประเทศ และต่างประเทศ ได้แก่ บ้านคำปลาหลาย บ้านหนองผือ บ้านพระพุทธบาท บ้านห้วยทราย บ้านจระเข้ บ้านโนนสะอาด บ้านทรัพย์สมบูรณ์ บ้านกุดเชียงมี บ้านโนนราศรี และศูนย์ค้ำคูณ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2539 เพื่อเป็นสถานที่บำบัดรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ตลอดจนเป็นที่ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ด้วย
14 ปีของการเคลื่อนงานเพื่อสังคม แพทย์หญิงทานทิพย์และนายแพทย์อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร ได้ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนยากจน จำนวน 70 หมู่บ้าน ให้กลายเป็นหมู่บ้านพึ่งตนเองได้ในปัจจุบันถึง 25 หมู่บ้าน เป็นผู้กระตุกแนวคิดให้ชาวบ้านสนใจการพัฒนาเพื่อพึ่งพาตนเอง
มูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดีจังหวัดขอนแก่น
โรงพยาบาลอุบลรัตน์ ต.เขื่อนอุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น 40250
โทร. 043 446 113
ป้ายคำ : สุขภาพพึ่งตน, เศรษฐกิจพอเพียง