น้ำมันรำข้าว คือ น้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันรำข้าวดิบ ซึ่งสกัดจากรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี ในกลุ่มโทโคฟีรอลประมาณ 19-40% และกลุ่มโทโคไตรอีนอล 51-81% และโอรีซานอล (Oryzanol) ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า มีกรดไขมันอิ่มตัว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid : PUFA) 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)
คุณประโยชน์ที่ได้จาก น้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว
จากผลการทดลองทางการแพทย์พบว่าการรักษาผู้ป่วย หากจะให้ได้ผลดี ต้องมีการให้อาหารเสริมเป็นโภชนาการบำบัดด้วย จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากการรักษาบางอย่างทำให้ร่างกายผู้ป่วยอ่อนแอ ไม่สามารถทนต่อการรักษาได้ อาจเสียชีวิตก่อนการรักษาเป็นผล โดยเฉพาะการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง การผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ จำเป็นต้องให้อาหารเสริมที่บำรุงร่างกายผู้ป่วยโดยเร่งด่วนที่สุด เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากการให้ผลดีในการรักษาแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคร้ายอื่นๆ และสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้ทั้งระบบอีกด้วย
ดังนั้น ผู้ที่สุขภาพร่างกายปกติ การรับประทานน้ำมันจมูกข้าวเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบบริบูรณ์ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ส่วนผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หากได้รับประทานน้ำมันจมูกข้าว ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ก็จะทำให้การรักษาเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น
ด้วยสารสำคัญ ที่ประกอบด้วยกลุ่มของวิตามินและแร่ธาตุจากธรรมชาติ มากกว่า 40 ชนิด เช่น แมกนีเซียม,แคลเซียม,ฟอสฟอรัส,เหล็ก ,โครเมียม,วิตามินอี,เซราไมด์ วิตามินบีรวม,แคโรทีนอยด์(โปรวิตามินเอ) เอ็นไซม์ต่างๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สดชื่น มีระบบของร่างกายทำงานได้ตามปกติ ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสมอง บำรุงผิวพรรณ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ช่วยในเรื่องของระบบไหลเวียนให้ดีขึ้น หลอดเลือดสะอาดจากการลดการสะสมของ ไขมันในเส้นเลือด มีกรดอะมิโน มากกว่า 6 ชนิด ซ่อมแซมเซลล์ และดีเอ็นเอ ให้คงสภาพ เพื่อการมีอายุที่ยืนยาว พร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
กลุ่มโรคมะเร็ง
โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีที่มาที่ไปในศตวรรษที่ผ่านมาและศตวรรษนี้ คือโรคมะเร็ง แต่น่ายินดีที่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า หากได้รับสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันจมูกข้าวเข้มข้นถึง 5% ของกระแสเลือดในร่างกาย จะช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นโรคมะเร็ง แม้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้ว ก็ช่วยได้ถึง 62% เนื่องจากในน้ำมันจมูกข้าว มีสารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ว่ากันว่า สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันจมูกข้าว มีมากกว่าในพืชทุกชนิดเท่าที่มีการค้นพบในเวลานี้ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวได้แก่
1. สารแกมม่า-ออไรซานอล (Gamma-Oryzanol ) ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า และมีความเสถียรที่สุดเมื่อเทียบกับ วิตามิน C และ E
2. โทคอล (Tocols) วิตามิน อี ธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol)
นอกจากนั้นยังพบว่าในน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวยังมีโอเมก้า 3 – 6 9 อยู่ด้วยกันนั้น ผลการศึกษาวิจัยขององค์การอนามัยโลก ให้การยอมรับว่า หากคนเราได้กรดไขมันโอเมก้า 3 – 6 – 9 ในอัตรา 1 – 2 – 1 เป็นประจำ จะทำให้ปลอดภัยจากโรคมะเร็ง
กลุ่มโรคเบาหวาน
กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง
กลุ่มโรคสายตา โรคต้อกระจก ต้อหิน บำรุงสายตา
กลุ่มโรคความจำเสื่อม โรคไหลตาย
การบำรุงสมอง บำรุงประสาท
บำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส และ ชลอความแก่
น้ำมันจมูกข้าว นอกจากจะมีวิตามินอีธรรมชาติในรูปแอลฟา-Tocopherol จำนวนมากแล้วน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าวยังมีสารแกมม่า-ออไรซานอล ในปริมาณมากเช่นกัน ซึ่งสารทั้งสองเป็นสารแอนตี้ออกซิแด้นซ์ช่วยป้องกันเนื้อเยื่อถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ รวมทั้งวิตามินบีคอมเพล็กซ์ โอเมก้า 6 และเซลาไมซ์(Ceramide) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า สารอาหารดังกล่าว มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่ง ผ่องใสมีน้ำมีนวลอยู่เสมอ ทำให้แก่ช้า หรือ ชลอความแก่ ที่มีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นหายไป นอกจากนี้เซราไมด์ยังมีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ดี และยังเป็นมอยเจอไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวอีกด้วย
**น้ำมันจมูกข้าว ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นสารอาหารที่สกัดจากจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอาหารสมบูรณ์มากที่สุด เหมาะแก่การรับประทานเพื่อเป็นสารเสริมอาหาร หรือทานควบคู่กับการรักษาของแพทย์ ผู้ที่รับประทานน้ำมันจมูกข้าวเป็นประจำ จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นตลอดเวลา ร่างกายจึงมีภูมิต้านทานสูง ลดการเสื่อมของเซลล์ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
วิธีการสกัดน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว
วิธีการสกัดน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว ทำได้ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ
1) การสกัดน้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว แบบบีบเย็น คุณภาพสูง (สำหรับทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)
การสกัดแบบบีบเย็น(สกัดเย็น) คือ การบีบสกัดน้ำมันจากพืช โดยไม่ใช้ความร้อนในขบวนการเลย ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ จนถึงขั้นสุดท้ายเป็นน้ำมันพืช แต่ในระหว่างขบวนการอาจเกิดความร้อนจากการเสียดสีได้ แต่อุณหภูมิที่ถูกถ่ายทอดสู่น้ำมันต้องไม่เกิน 40 องศา C คุณภาพสูง คือ มีปริมาณสารสำคัญสูง เช่น แกรมม่า ออริซานอล สูงถึง 19,400 PPM วิตามิน E สูง มากว่า 1,000 PPMกรดไขมันอิสระ FFA ไม่เกิน 4
การสกัดน้ำมันจมูกข้าวและรำข้าวที่ผ่านกระบวนการความร้อนจะทำให้คุณค่าทางอาหารเสียไป แต่น้ำมันจมูกข้าวและรำข้าวที่บรรจุแคปซูลของบริษัท PrimaLife เหมาะที่จะเป็นอาหารเสริม เพราะผลิตโดย ไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนและไม่ใช้สารเคมีใดใดในขั้นตอนการสกัดน้ำมัน ทำให้สามารถรักษาคุณค่าทางสารอาหารของจมูกข้าวและรำข้าวได้อย่างครบถ้วนและ ปลอดภัยจากสารเคมีเจือปน ซึ่งน้ำมันที่ได้จะเรียกว่า VERGIN OIL
ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร น้ำมันจมูกข้าวและน้ำมันรำข้าว โดยมีรายละเอียดในขั้นตอนต่างๆดังนี้
1. คัดสรรวัตถุดิบทีปราศจากสารเคมีตกค้าง
2. นำวัตถุดิบที่สดใหม่และสะอาดเท่านั้นมาใช้ในการสกัดน้ำมัน โดยระยะเวลาของการผลิต ตั้งแต่เป็นวัตถุดิบที่ถูกขัดสีออกจากเมล็ดข้าวซึ่งอยู่ในลักษณะของ ผงจมูกข้าวและผงรำข้าว จนกระทั่งผ่านการสกัดเย็นได้น้ำมัน จะต้องไม่เกิน 24 ชั่วโมง ทำให้ได้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน
3. น้ำมันดิบที่ได้จากการสกัดเย็น จะมีประมาณ 2% ของน้ำหนักวัตถุดิบ แต่น้ำมันที่มีคุณภาพดีและจะสามารถนำมาใช้ผลิตอาหารเสริมได้นั้น จะมีประมาณ 1% ของน้ำหนักวัตถุดิบ
4. นำน้ำมันผ่านระบบกรองสุญญากาศ ความละเอียด 0.3 ไมครอน น้ำมันที่ได้จะมีความใสมาก และจะปราศจากตะกอนตกค้าง ส่วนสีของน้ำมันก็จะเป็นสีธรรมชาติของน้ำมัน คือ เหลืองใส
5. บรรจุน้ำมันลงภาชนะ
2) กระบวนการสกัดน้ำมันโดยตัวทำละลาย (สำหรับทำน้ำมันทอดอาหาร)
1. นำรำข้าวมาสกัดด้วยตัวทำละลาย (solvent)
2. นำน้ำมันที่มีตัวทำละลายไปผ่านความร้อนภายใต้สุญญากาศเพื่อกำจัดตัวทำละลาย ได้น้ำมันรำข้าวดิบ(crude oil)
3. น้ำมันรำข้าวดิบ(crude oil)ที่ได้จะมีความเป็นกรด และมีสิ่งเจือปนต่างๆ ที่ไม่เหมาะกับการบริโภค โดยน้ำมันจะมีลักษณะสีที่ออกไปทางสีน้ำตาลและมีตะกอนสีดำ รวมทั้งมีกลิ่นคล้ายน้ำมันก๊าดซึ่งนั่นก็คือกลิ่นของ เฮกเซน(Hexane) ที่ใช้เป็นตัวทำละลาย(solvent)
ขั้นตอนการสกัดน้ำมัน
4. นำน้ำมันรำข้าวดิบ(crude oil)ไปผ่านกระบวนการกลั่นน้ำมันรำข้าวเพื่อให้ได้น้ำมันรำข้าวที่ปราศจาก สิ่งเจือปนและเหมาะสมกับการบริโภค โดยมีขั้นตอนต่างๆที่สำคัญคือ
a. การลดกรดโดยใช้ด่าง (Saponification)
b. การลดความเข้มของสี โดยใช้ดินฟอกสี (Bleaching by Activated Clay)
c. การตกผลึกและแยกไขโดยใช้ความเย็น และการกรอง (Winterization)
d. การกำจัดกลิ่นโดยการกลั่นด้วยไอน้ำแรงดันสูง (Deodorization)
น้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว สกัดได้จากการน้ำรำข้าวและจมูกข้าวที่ถูกขัดออกจากเมล็ดข้าว มาผ่านกกระบวนการผลิต ที่เรียกว่า การสกัดเย็น (Cold Press) โดยนำรำข้าวและจมูกข้าวผ่านเครื่องหีบอัด จนน้ำมันที่อยู่ภายในรำข้าวถูกบีบออกมาทีละน้อย จึงนำไปผ่านกระบวนการอื่นๆที่ทำให้สะอาดขึ้น ก่อนการรับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพ โดยไม่ผ่านความร้อนในทุกขั้นตอนการผลิต ไม่ใช้สารเคมีในการสกัด (ซึ่งการใช้สารเคมีสกัด แจะได้น้ำมันในปริมาณมาก แต่อาจจะไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ)
กระบวนการผลิตน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวที่ดีที่สุด คือ
วิธีการการบีบเย็น Cold Screw Press วัตถุดิบที่ใช้ คือ รำข้าว ต้องใหม่เสมอ การบีบทำได้ช้า ผลิตได้ครั้งละไม่มาก แต่ได้น้ำมันที่มีคุณค่าของรำและจมูกข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุด
กระบวนการกรองที่ดีที่สุด คือ การกรองด้วยกระดาษกรอง
ให้ไหลตามแรงโน้มถ่วง กรองได้ช้า แต่จะทำให้ได้น้ำมันที่สะอาด ไม่มีกากรำเจือปนเก็บไว้นานไม่ตกตะกอน เพราะในกากรำมี ไลเปส ที่ทำให้ย่อยน้ำมันก่อให้เกิดการหืน
ป้ายคำ : สุขภาพพึ่งตน