“ผงนัว” (นัว หมายถึง รสกลมกล่อมของอาหาร เช่น ต้ม แกง ลาบก้อย มีรสกลมกล่อม เรียก นัว) แบบสำเร็จรูปขึ้นมา โดยต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ใช้พืชผักสมุนไพรทำเครื่องปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหาร
ผงปรุงรสสมุนไพร (ผงนัว)
ในอดีต ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานนำพืชผักบางชนิดมาใช้ปรุงอาหารเพื่อเพิ่ม
รสชาติให้อร่อยเช่น นำใบหม่อน ใบน้อยหน่า มาใส่ต้มไก่ ต่อมาผู้นำพืชผักสมุนไพรหลายชนิดมาแปรรูปเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงรสเรียกว่า”ผงนัว”เก็บไว้ใช้ทำต้มแกงลาบก้อยและอาหารอื่นๆ ทำให้ใช้ได้สะดวกและสามารถเก็บไว้ได้นาน เช่น ในจ.สกลนคร มีการทำผงนัว โดยใช้สมุนไพร 12 ชนิดได้แก่ ใบผักหวาน ใบมะรุม ใบหม่อน ใบกระเทียม ใบหอม ใบมะขาม ใบกระเจี๊ยบ ผักโขมทั้งต้น ใบส้มป่อย ใบน้อยหน่า ใบชะมวง และใบกุยช่าย โดยนำมาตากแดดให้แห้ง ตำให้ละเอียดแล้วผสมกันเก็บไว้ใส่อาหารเวลาต้มแกง สำหรับจ.มหาสารคาม และใกล้เคียง มีพืชผักพื้นบ้านหลายชนิดที่สามารถนำมาปรุงรสอาหารและสามารถแปรรูปให้สะดวกในการใช้และเก็บไว้ได้นานนอกจากจะทำให้ยังมีรสชาติอาหารดีโดยไม่ต้องใส่ผงชูรส (MSG) ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคแล้วพืชผักเหล่านี้ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ในปัจจุบันบางพื้นที่ไม่มีพืชผักสมุนไพรใกล้บ้าน หรือสะดวกที่จะไปเก็บรวบรวมผักหลายๆ ชนิดมาทำผงนัวไว้ปรุงรสอาหารเอง หรือบางคนมีเวลาไม่เพียงพอที่จะทำใช้เอง ดังนั้น การผลิตเครื่องปรุงรสจากพืชสมุนไพร ซึ่งสามารถใช้แทน MSG จะไม่มีอันตรายแก่ผู้บริโภค ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและยังนำมาจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ และทำให้ผู้บริโภคที่คนรักสุขภาพมีโอกาสได้ซื้อและใช้เครื่องปรุงรสที่ไม่มีอันตรายอีกด้วย
สูตรที่ทำต่างกัน นี่คือสูตรที่นิยม
สำหรับสูตรผงนัวมี 2 สูตรด้วยกันคือ
การทำผงนัวอาจใช้เวลาเกือบปีในการสะสมผักต่างๆ เช่น ผักหวานจะมีในฤดูฝน ใบกระเทียมจะมีมากในฤดูหนาว ชาวบ้านจึงต้องเก็บและตากแห้งไว้จนกว่าจะครบทั้ง12ชนิด ได้แก่ ใบผักหวาน, ใบมะรุม, ใบหม่อน, ใบกระเทียม, ใบหอม, ใบมะขาม, ใบกระเจี๊ยบ, ผักโขมทั้งต้น, ใบส้มป่อย, ใบน้อยหน่า, ใบชะมวง, ใบกุยช่าย
เลือกใบที่ไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป โดยผสมผักพื้นบ้านในอัตราส่วนที่ต่างกันไป แต่ที่มีอัตราส่วนปริมาณมากคือผักหวานและใบหม่อน รองลงมาเป็นใบมะรุม และที่ใส่ลงไปน้อยสุดคือใบน้อยหน่า เนื่องจากมีการถ่ายทอดมาว่าใบน้อยหน่ามีพิษ ซึ่งคนสมัยโบราณนำใบน้อยหน้ามาฆ่าเหา แต่อะไรก็แล้วแต่ถ้ามีพิษ และมีรสขมหากใส่แต่น้อยถือว่าเป็นยา ขณะเดียวกันชาวบ้านยังใช้ใบน้อยหน่ามาแกงกินได้
จากนั้นเพิ่มข้าวเหนียวแช่น้ำ ข้าวกล้องแช่น้ำ และข้าวเหนียวนึ่งสุก ข้าวกล้องหุงสุก และเติมเกลือไอโอดีนลงไป ผ่านการอบแห้งแล้วป่นรวมกัน
พืชที่มีศักยภาพในการนำมาผลิตผงนัว
รสมันหวาน
รสเผ็ดร้อน
รสเผ็ดหอม
รสหอมร้อน
รสหอมเย็น
รสหอมจืด
รสหอมเผ็ดหวาน
รสหอมเย็นหวาน
รสหวานเย็น
รสขมเย็น
รสมันขม
รสขมเมา
รสเบื่อเมา
รสขมหวาน
รสเปรี้ยว
เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาเครื่องปรุงเกินไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ้ว เครื่องชูรสจึงได้ทำผงนัวไว้ทานในครอบครัวซึ่งนอกจากจะลดความเสี่ยงการใช้เครื่องปรุงรสเกินยังได้ประโยชน์ด้านสมุนไพร วิตามิน และเกลือแร่ด้วย โดยปรับมาจากสูตรกลุ่มอินแปงและสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสกลนคร
สูตรการทำผงนัว(พลิกแพลงได้ตามต้องการ)
สูตรที่ 1
สูตรที่ 2
สูตรที่ 3
สูตรที่ 4
สูตรที่ 5
สำหรับสูตรโบราณอีสานดั้งเดิม
ส่วนผสม :
วิธีการทำ :
ล้างผักทั้งหมดให้สะอาดแล้วตำผสมกับข้าวเหนียวนึ่งตากแห้งให้แหลกละเอียด เข้ากันให้ดี ใส่กระดงเกลี่ยบางๆ ผึ่งลมให้แห้งสนิท 2-3 วัน แล้วร่อนเก็บเป็นผงใส่ขวดไว้ในที่แห้ง
การนำไปปรุงอาหารใส่ได้กับอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารประเภททอดกรอบ เพราะจะทำให้เหม็นเขียว ส่วนจำพวกส้มตำ,ยำ ควรนำผงนัวไปต้มกับน้ำปลาหรือน้ำปลาร้าก่อนค่อยนำมาปรุงอาหาร
ผงนัวจึงเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาพัฒนาผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และองค์ความรู้สมัยใหม่ ได้อย่างลงตัว ในวันนี้ผงนัวจึงเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพที่คนไทยต้องเลือก เลิกกินผงชูรสแล้วมาทำผงนัวกินเอง ดีต่อสุขภาพ
ที่มา
ศูนย์อินแปง 149/7 หมู่ 8 ตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร 47180
ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มวิสาหกิจ บ้านยางโล้น จังหวัดสกลนคร โทร. 081-051-9521
ป้ายคำ : แปรรูปอาหาร