ผักกาดหอม หรือ ผักสลัด เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบยุโรป และเอเชีย ถือเป็นผักที่นิยมรับประทานมากทั้งในประเทศ และส่งจำหน่ายต่างประเทศ โดยเฉพาะการรับประทานสดในรูปของผักสลัด ยำ และอาหารประเภทแกงจืดหรือต้มยำ
ผักกาดหอมหรือเรียกสั้นๆว่า ผักกาด รวมถึงผักสลัด ซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของพันธุ์ผักกาด เป็นผักสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายหรือดินที่มีลักษณะหน้าดินหลวม และลึก ระบายน้ำดี ไม่ชอบดินเหนียว และหน้าดินแน่น ชอบอากาศเย็นจึงมักปลูกในช่วงปลายฝนถึงฤดูหนาว เช่น ชนิดหอมห่อ แต่บางชนิดสามารถปลูกได้ทุกฤดู ซึ่งทนต่ออากาศร้อนได้ดี เช่น ชนิดใบ และชนิดต้น
ผักกาดหอม เป็นผักที่ใช้บริโภคส่วนใบ เจัดอยู่ในจำพวกผักสลัดที่มีคุณค่าทางอาหารสูง นิยมบริโภคกันแพร่หลายที่สุดในบรรดาผักสลัดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ นิยมรับประทานสดและนำมาประกอบอาหารหลายชนิด คนไทยนิยมใช้ผักกาดหอมกินแกล้มอาหารจำพวกยำต่างๆ สาคูหมู หรือข้าวเกรียบปากหม้อ เป็นต้น ประโยชน์ของผักกาดหอมนอกจากจะใช้กินเป็นผักสดที่มีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว ยังจัดเป็น อาหารทางตา กล่าวคือ สามารถนำมาตกแต่งประดับจานอาหารให้มีสีสันสวยงามน่าทานมากขี้น ความต้องการผักกาดหอมมีอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ จึงนับได้ว่าผักกาดหอมเป็นผักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ นับวันจะทวีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lactuca sativa
ชื่อสามัญ Lettuce
วงศ์ Asteraceae
ชื่ออื่นๆ ผักสลัด ผักกาดยี พังฉ้าย
ลักษณะ
- ราก รากของผักกาดหอมเป็นระบบรากแก้ว มีรากแก้วที่แข็งแรงอวบอ้วน และเจริญอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีความชื้นเพียงพอ รากแก้วสามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้ถึง 5 ฟุต หรือมากกว่าแต่รากแก้วจะเสียหายในขณะที่ย้ายปลูก ดังนั้นรากที่เหลือจะเป็นรากแขนง ซึ่งแผ่กระจายอยู่ใต้ผิวดินประมาณ 1-2 ฟุต โดยปริมาณของรากจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหนาแน่น ไม่ค่อยแพร่กว้างออกไปมากนัก อย่างไรก็ตามการย้ายปลูกนั้นมีผลดีในการช่วยให้ผักกาดหอมประเภทหัวห่อหัวได้ดีขึ้น
- ลำต้น ลำต้นของผักกาดหอมในระยะแรกมักจะมองไม่ค่อยเห็น เนื่องจากใบมักจะปกคลุมไว้ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อระยะแทงช่อดอก ลักษณะลำต้นผักกาดหอมจะตั้งตรง สูงชะลูดขึ้นจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลำต้นมีลักษณะอวบอ้วน ถ้าปลูกในที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากๆ จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 2 นิ้ว ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อสั้น แต่ละข้อจะเป็นที่เกิดของใบ
- ใบ ใบแตกออกมาจากลำต้นโดยรอบ สีใบมีตั้งแต่เขียวอ่อน เขียวปนเหลือง จนถึงสีเขียวแก่ บางพันธุ์มีสีแดงหรือน้ำตาลปนอยู่ ทำให้มีสีแดง บรอนซ์ หรือน้ำตาลปนเขียว พันธุ์ที่ห่อเป็นหัวจะมีใบหนา เนื้อใบอ่อนนุ่ม ใบจะห่อหัวอัดกันแน่นคล้ายกะหล่ำปลี ใบที่ห่ออยู่ข้างในจะเป็นมัน บางชนิดมีใบม้วนงอเปราะมีเส้นใบเห็นได้ชัด ขอบใบมีลักษณะเป็นหยัก ขนาดและรูปร่างของใบผักกาดหอมจะแตกต่างกันตามชนิด
- ดอกและช่อดอก ดอกผักกาดหอมมีลักษณะเป็นช่อแบบที่เรียกว่า Panicle ประกอบด้วยกลุ่มของดอกที่อยู่เป็นกระจุกตรงยอด แต่ละกระจุกประกอบด้วยดอกย่อย 15-25 ดอกหรือมากกว่า ก้านช่อดอกจะยาวประมาณ 2 ฟุต ช่อดอกอันแรกจะเกิดที่ยอดอ่อน จากนั้นจะเกิดช่อดอกข้างตรงมุมใบขึ้นภายหลัง ช่อดอกที่เกิดจากส่วนยอดโดยตรงจะมีอายุมากที่สุด ส่วนช่อดอกอื่นๆ จะมีอายุรองลงมา ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกสีเหลือง ตรงโคนเชื่อมติดกัน รังไข่มี 1 ห้อง เกสรตัวเมียมี 1 อัน มีลักษณะเป็น 2 แฉก เกสรตัวผู้ 5 อัน รวมกันเป็นยอดยาวห่อหุ้มก้านเกสรตัวเมียและยอดเกสรตัวเมียไว้
- เมล็ด เมล็ดผักกาดหอมเป็นชนิดเมล็ดเดียว (achene) ซึ่งเจริญมาจากรังไข่อันเดียว เมล็ดจะมีเปลือกหุ้มเมล็ดบาง เปลือกเมล็ดจะไม่แตกเมื่อเมล็ดแห้งเมล็ดของผักกาดหอมมีลักษณะแบนยาว หัวท้ายแหลมเป็นรูปหอก มีเส้นเล็กๆ ลาดยาวไปตามด้านยาวของเมล็ดที่ผิวเปลือกหุ้มเมล็ด เมล็ดมีสีเทาปนครีมความยาวของเมล็ดประมาณ 4 มิลลิเมตร และกว้างประมาณ 1 มิลลิเมตร

สรรพคุณทางยา
ผักกาดหอมมีแอนติออกซิแดนท์หลายชนิด ช่วยในการป้องกันและต่อต้านมะเร็งได้
ผักกาดหอมที่นิยมปลูก แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
- ผักกาดหอมห่อ
เป็นผักกาดหอมที่มีลักษณะใบเรียงตัวกันหลายใบ ซ้อนกันแน่น ปลายใบหุบลงห่อห่มกันเป็นชั้นๆจนมีลักษณะเป็นหัว ใบด้านในมีสีเหลืองอ่อน ใบด้านนอกมีสีเขียวถึงเขียวแก่ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดหัวห่อแน่น ใบค่อนข้างบาง มองเห็นเส้นใบ กรอบ และเปราะง่าย ใบจะเรียงตัวห่อซ้อนทับกันจนเป็นหัวคล้ายกะหล่ำปลี แต่ต่างกันที่สี และลักษณะใบเท่านั้น นิยมนำมารับประทานสด และทำผักกาดดอง เป็นต้น
ชนิดหัวห่อหลวม เป็นชนิดที่พบได้มากในตลาดค้าผัก แบ่งออกเป็นผักกาดหอมห่อหลวมทั่วไป และห่อหลวมแบบยาว ซึ่งจะต่างกันที่แบบห่อยาวจะมีรูปทรงกลม และเรียวยาวกว่า ลักษณะของผักกาดหอมห่อหลวม ใบจะอ่อนนุ่ม ไม่กรอบ ผิวใบมัน และหนากว่าผักกาดหอมห่อแน่น และลักษณะการห่อหัวจะหลวม ไม่อัดกันแน่น
- ผักกาดหอมใบ
เป็นผักกาดหอมที่นิยมปลูก และรับประทานมากไม่แพ้ผักกาดหอมแบบหัวห่อหลวม บางครั้งมักเรียกว่า ผักสลัด ซึ่งนิยมนำมารับประทานสด หรือนำมาประกอบอาหารประเภทสลัด ยำ และต้มแกง ผักกาดชนิดนี้มีลักษณะใบใหญ่กว้าง ขอบใบหยิกไปมา ไม่ห่อเป็นหัว ใบแผ่กางออกเป็นทรงพุ่มเล็ก สีของใบมีทั้งสีเขียว สีม่วงหรือสีน้ำตาล สามารถปลูกได้ในทุกสภาพดิน และทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ดี ปัจจุบันนิยมปลูกมากในระบบไร้ดินหรือผักไฮโดรโปรนิกส์
- ผักกาดหอมต้น
เป็นชนิดของผักกาดที่นิยมปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีลักษณะใบสีเขียวถึงเขียวแก่ ก้านใบ และใบอวบ ก้านใบยาว แตกใบออกจากลำต้นเรียงซ้อนกันแบห่างๆจนถึงส่วนยอด ซึ่งทำให้มีลักษณะกลายเป็นลำต้นสูง ผักกาดชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์มากกว่าผักกาดชนิดอื่น ได้แก่ ผักกาดกวางตุ้งหรือผักกวางตุ้ง ผักกาดดอก ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ เป็นต้น

คุณค่าทางอาหาร
ผักกาดหอม 100 กรัม ให้พลังงาน 24.00 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย โปรตีน 2 กรัม ไขมัน 0.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม แคลเซียม 16 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม เหล็ก 4.9 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 173.17 ไมโครกรัม เส้นใย 1.80 กรัม วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.18 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 9.00 มิลลิกรัม
ประโยชน์
ให้วิตามินซี เบต้าแคโรทีน โฟเลท และธาตุเหล็ก ช่วยป้อง กันโรคโลติตจาง โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยเบาหวาน
การเตรียมดิน ปลูกผักสลัด/ผักกาดหอม
- ตรวจสภาพของดินวัดความเป็นกรด – ด่างของดิน ซึ่งระดับที่เหมาะสมคือ pH 6 – 6.5
- ไถดะปรับพื้นที่ให้เรียบและโปร่ง จากนั้นให้ไถซ้ำอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้ดินละเอียดขึ้น
- ตากดินไว้ 7 วัน เพื่อกำจัดโรคพืชและแมลง
- ขุด,ถอน,และกำจัดพืชที่ไม่ต้องการออก
- หว่านปูนขาวเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดของดิน 100 – 200 กก./ไร่
- ยกแปลงขนาด 1.20 x 40 เมตร ยกร่องสูง 50 เซนติเมตร
- หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1-2 ตัน/ไร่เพื่อเพื่อความร่วนซุยและไถพรวนอีกครั้งหนึ่ง
- คราดกลบปุ๋ย และ ปรับหน้าแปลงให้เรียบ
- คลุมด้วยฟางข้าวแห้งเพื่อรักษาความชื้น 1 แปลงใช้ประมาณ 3 ก้อน
- พื้นที่ 1 ไร่ ทำแปลงขนาด 1.2 x 40 เมตร ได้ 20 – 25 แปลง

การดูแลรักษา
กำจัดวัชพืช : กำจัดวัชพืช โดยการถอนหญ้าด้วยมือ 1-2 ครั้ง
การให้น้ำ : ไม่แนะนำให้ใช้ระบบฝนเทียมแต่จะใช้แรงงานคนเดินฉีดสายยางตามแปลงเพราะน้ำจากสายยางจะสามารถชะล้างไข่ของแมลงศัตรูพืชที่ติดอยู่ที่ใบลงไปบนดินได้ จากนั้นจุลินทรีย์ในดินกจะย่อยกินไข่แมลงศัตรูพืชเหล่านี้ **นอกจากนี้ผู้ปลูกจะได้ถือโอกาสตรวจแปลงไปในตัวหากมีความผิดปกติก็จะพบเห็นได้ทันที
- หน้าหนาว รดน้ำวันละ 1 ครั้ง เวลา 6.00 – 7.00 น. ก่อนแดดออก เพราะจะช่วยชะล้างน้ำค้างตอนเช้า ซึ่งน้ำค้างมีฤทธิ์เป็นกรดสามารถทำให้เกิดโรคราน้ำค้างได้ จะเน้นในช่วงหน้าหนาวและหน้ามรสุม
- หน้าร้อน รดน้ำวันละ 2 ครั้ง ถ้าอากาศร้อนมาก ให้รดน้ำตอนบ่าย เวลาประมาณ 14.00 น. เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในแปลง ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อต้นพืช
- หน้าฝน ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำ ถ้าฝนตกมากเกินไปจะทำให้ดินแน่นพืชจะขาดอากาศหายใจ จะต้องใช้ตะขอคุ้ยดินรอบต้นเพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศ

การใส่ปุ๋ย :
– ใช้ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยน้ำอินทรีย์ อัตรา 30-50 ซีซี.(3-5 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน ตั้งแต่เริ่มปลูก (ฉีดช่วงเช้าจะดีที่สุด)

โรคและแมลง :
– โดยส่วนใหญ่แล้ว ความเสียหายของผักกาดขาวที่เกิดจากโรคและแมลงเข้าทำลายจะมีไม่เกิน 10 % จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับการผลิตผักกาดหอมแบบปลอดสารพิษ
– เมื่อพบโรคและแมลงเข้าทำลายผักกาดหอม จะใช้วแรงงานคนกำจัด โดยการเด็ดใบหรือถอนต้นทิ้งนอกพื้นที่ปลูก เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด
สายพันธุ์และอายุการเก็บเกี่ยว
- เรดโอ๊ค อายุเก็บเกี่ยว 45-50 วัน
- สลัดแก้ว อายุเก็บเกี่ยว 70 วัน
- เรดลีฟ อายุเก็บเกี่ยว 45 วัน
- บัตเตอร์เฮด อายุเก็บเกี่ยว 50 วัน
- คอส อายุเก็บเกี่ยว 55 วัน
- กรีนโอ๊ค อายุเก็บเกี่ยว 40 วัน


การเก็บเกี่ยว :
- ใช้มีดตัดโคนต้นของผัก ตัดใบแก่ออก แล้วจัดวางในตะกร้า ระวังอย่าให้ผักช้ำ
- เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ควรพักแปลงทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน และ ทำการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อให้ดินอุดมสมบูรณ์พร้อมที่จะปลูกผักในครั้งต่อไป

แหล่งอ้างอิง :
คุณฝ่อ พรหมนิพล เกษตรกรผู้มีอาชีพปลูกผักสลัดขาย ต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก