พริกชนิดนี้รสชาติหวาน ไม่เผ็ด สามารถรับประทานสดในสลัด หรือนำมาผัดกับผักชนิดต่างๆ ได้ ให้สีสันน่ารับประทาน และยังให้คุณค่าทางวิตามิน A, B1, B2 และ C มีสารแคปไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก โรคมะเร็ง
พริกหวานหรือพริกยักษ์ ( SWEET PEPPER / BELL PEPPER )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Capsicum annuum
ชื่อื่น พริกยักษ์, พริกระฆัง, พริกตุ้มใหญ่
พริกหวาน อยู่ในตระกูล มะเขือ ( Solanaceae ) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับ มะเขือเทศ ยาสูบ มันฝรั่ง ฯลฯ พริกเป็นพืชข้ามปี แต่ที่ปลูกเป็นการค้า ส่วนใหญ่จะปลูกฤดูเดียว ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่จำนวนมาก มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความสูง ขนาดทรงพุ่ม ขนาดของใบ จำนวนดอกต่อช่อ ลักษณะขนาด สีของผล ตลอดจนรสชาติและความเผ็ดผลมีลักษณะกลมยาวขนาดใหญ่พริกหวาน สีเขียว จะเป็นที่ต้องการของตลาดแต่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือ เหลือง ส้ม หรือม่วง
ลักษณะของพริกหวาน
ต้นพริกหวาน จัดเป็นพืชข้ามปี แต่นิยมปลูกเป็นพืชฤดูเดียว การเติบโตในระยะแรกจะเจริญเป็นลำต้นเดี่ยว เมื่อติดดอกช่อแรกตรงยอดแล้ว จากนั้นจะแตกกิ่งแขนงในแนวตั้งเป็นสองกิ่ง ทำให้จำนวนกิ่งเพิ่มขึ้น ตลอดฤดูการเจริญเติบโตผลผลิตที่ได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนกิ่งและจำนวนผลต่อต้น ในช่วงระแรกที่กิ่งเจริญเป็นกิ่งอ่อน ต่อจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นกิ่งแก่ที่มีความแข็งและเปราะหักได้ง่าย โดยมีความสูงของต้นอยู่ประมาณ 0.5-1.5 เมตร มีรากเจริญในแนวดิ่งลึกประมาณ 90-120 เซนติเมตร รากแขนงแผ่กว้างออกด้านข้างประมาณ 90 เซนติเมตร ส่วนรากใหญ่จะอยู่กันอย่างหนาแน่นในระดับความลึกประมาณ 50-60 เซนติเมตร สำหรับการปลูกพริกหวานนั้น จะขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เจริญเติบโตได้ดินในสภาพอากาศอบอุ่น ความชื้นในอากาศต่ำ อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 20-25 องศาเซลเซียว
คุณค่าทางโภชนาการของพริกหวานสีเขียว ต่อ 100 กรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
สภาพแวดล้อม
พริกหวานต้องปลูกในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิได้เพราะต้องการสภาพอากาศอบอุ่น ความชื้นในอากาศต่ำ ไม่ทนทานต่อน้ำค้างแข็ง อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญอยู่ระหว่าง 20 ? 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืนไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส ในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ ในอุณหภูมิต่ำสามารถทำให้ผลเจริญโดยไม่มีเมล็ด
ประโยชน์
พริกหวาน มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมถึงหกเหลี่ยม เนื้อหนา มีหลายสีทั้งเขียว แดง เหลือง ส้ม และสีช็อคโกแลค มีรสชาติหวาน ไม่เผ็ด สามารถรับประทานสดในสลัด หรือนำมาผัดกับผักชนิดต่างๆ ให้สีสันน่ารับประทาน มีคุณค่าทางวิตามิน A, B1, B2 และ C มีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง
สรรพคุณทางยา
ช่วยกระตุ้นทางการทำงานของกระเพาะอาหารทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขั้น ช่วยเจริญอาหารบำรุงธาตุ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้หิด กลากเกลื้อน และสามารถลดความด้นโลหิตได้ เพราะทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว และช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปได้ดี
การปลูกพริกหวานหรือพริกยักษ์ หรือมีเมล็ดน้อยอุณหภูมิในระยะก่อนดอกบาน จะมีอิทธิพลต่อการติดของเมล็ด มากกว่าอุณหภูมิหลังดอกบาน การปลูกในฤดูหนาวควรควบคุมให้อุณหภูมิอากาศในโรงเรือนสูงกว่าข้างนอก 5 องศา เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต ทำให้ทรงพุ่มสูง
สายพันธุ์ที่ใช้ปลูก
การปลูกพริกสีในโรงเรือน ควรเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกใน
โรงเรือน เช่น
การเพาะกล้า
เมล็ดพริกจะงอกช้ากว่าเมล็ดพืชตระกูลมะเขืออื่นๆ วัสดุเพาะควรประกอบด้วย ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกเก่า ขี้เถ้าแกลบ เมล็ดพันธุ์พริกหนัก 10 กรัม จะมีเมล็ด 2,300 ถึง 2,600 เมล็ด ใช้เมล็ดพันธุ์ 20 ? 40 กรัมต่อพื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะได้ต้นกล้า 3,200 ? 3,500 ต้น การจัดการเมล็ดก่อนเพาะ ควรแช่เมล็ดในน้ำผสมเบนเลท และแคปแทนอย่าง ละ 6 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร เป็นเวลา 30 ? 60 นาทีเพื่อป้องกันโรคที่ติดมากับเมล็ด และให้เมล็ดงอกเร็ว สม่ำเสมอ
หลังจากนั้นนำออกมาล้าง และนำไปแช่น้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาทีและแช่ใน KNO3( โพแทสเซียมไนเตรท ) เข้มข้น 0.1 ? 0.2 % และใช้ผ้าเปียกหมาด ๆ หุ้มไว้ประมาณ 1 ? 2 วัน หรือจนกระทั่งเริ่มมีรากสีขาวออกมา อย่าให้รากงอกยาวเพราะจะ ทำให้ไม่สะดวกในการหว่าน อุณหภูมิดิน 30 องศาเซลเซียส จะเหมาะสมสำหรับการงอกของเมล็ด โดยจะงอกภายในเวลา 6 ? 10 วัน การเพาะในอุณหภูมิ15 องศาเซลเซียสเมล็ดจะงอกช้าหลังจากที่เมล็ดเริ่มงอก นำไปหยอดในถาดเพาะ ให้ลึก 1 ซม. กลบเมล็ด
การให้น้ำก่อนเมล็ดงอก ไม่ควรให้น้ำมาก และให้น้ำวันละสองครั้งเช้า ? เย็น เมื่อต้นกล้าเริ่มเจริญในระยะแรกจะรดน้ำวันละหนึ่งครั้ง ต่อจากนั้นจะให้น้ำสองถึงสามวันต่อครั้งขึ้นอยู่กับสภาพดินและสภาพอากาศ
ในระยะที่ต้นกล้ากำลังเจริญเติบโต ควรฉีดพ่นด้วยปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยหมักที่มีธาตุอาหารหลักและธาตุรอง ทุก 3 ? 5 วัน และปุ๋ยน้ำทุก 7 วัน ย้ายต้นกล้าเมื่อมีใบจริง 3 ? 4 ใบ หนึ่งอาทิตย์ก่อนถอนต้นกล้า ควรลดการให้น้ำเพื่อให้ต้นกล้าชะงักการเจริญต้นกล้าจะแข็งแรงและมีอาหารสำรองสำหรับการเจริญของรากใหม่
ระยะปลูก
การปลูกในโรงเรือนจะใช้ระยะ 50 x 100 ? 120 เซนติเมตร การปลูกพริกสีแดง เหลือง ม่วง นิยมปลูกในโรงเรือน เนื่องจากมีอายุการเก็บเกี่ยวช้ากว่าสีเขียวใช้วิธีการตัดแต่งกิ่งและปลูกเป็นแถวเดี่ยวกลางแปลง ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพริกหวาน คือ ระยะปลูก 40 x 50 ซม. ก่อนปลูกควรให้น้ำ เพื่อให้มีความชื้นพอเพียง การปลูกในดินที่ขาดน้ำ ดินจะดึงน้ำจากพืช ทำให้พืชเหี่ยวตาย การปลูกควรปลูกให้ลึกกว่าส่วนโคนเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ต้นเคลื่อนไหว
การให้น้ำ
พริกหวานเป็นพืชที่ไม่ทนทานต่อสภาพการขาดน้ำ หรือการให้น้ำมากเกินไปพริกต้องการน้ำ 400 ? 1,000 มิลลิเมตร ตลอดฤดูปลูก ควรให้น้ำอย่างพอเพียงและสม่ำเสมอระยะที่ย้ายปลูกใหม่ควรดูแลให้มีความชื้นอย่างพอเพียง แต่ไม่ควรให้มากจนน้ำขัง แฉะ จะทำให้รากเน่า ตายได้ง่าย
การปลูกในดินทราย ต้องให้น้ำบ่อยครั้งกว่าดินเหนียว ระยะที่มีหมอกลงจัดควรให้น้ำในตอนบ่ายเพื่อให้หน้าดินแห้งก่อนค่ำ นอกจากนี้การทดน้ำเข้าตามร่องประมาณ 1/3 ของความสูงของแปลง จะดีกว่าให้แบบพ่นฝอย
การควบคุมและกำจัดวัชพืช
การใช้วัสดุคลุมดินจะช่วยรักษาความชื้นในดินและควบคุมวัชพืช ถ้าหากใช้ฟางคลุมควรเป็นฟางเก่าเนื่องจากเพลี้ยจะชอบสีเหลืองถ้าใช้ฟางใหม่คลุมจะทำให้เกิดโรคใบหด
การใช้พลาสติกสีดำคลุมดิน ทำให้เพิ่มอุณหภูมิดิน ดังนั้นควรคลุมดินด้วยพลาสติกสีน้ำเงิน ซึ่งสะท้อนแสงและช่วยลดปริมาณแมลงปากดูด ควบคุมวัชพืชรักษาความชื้นและลดอุณหภูมิในดิน ผลการทดลองหลายแห่งพบว่าการคลุมดินด้วยพลาสติกสีน้ำเงิน และให้ปุ๋ยในรูปสารละลายแบบระบบน้ำหยดสามารถช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มขนาดของผล และ ช่วยให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น
การตัดแต่งกิ่งและการปลิดผล
เนื่องจากพริกหวานเป็นพืชที่ต้องการทั้งผลผลิตและคุณภาพดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ลำต้นโปร่ง เพิ่มอัตราการหมุนเวียนของอากาศ ลดการระบาดของโรคเกิดความสมดุลในการสร้างอาหารและการใช้อาหาร สำหรับการเจริญเติบโต ผลผลิตและคุณภาพของผล ตลอดจนยืดเวลาเก็บเกี่ยว จำนวนกิ่งและจำนวนผลต่อต้นขึ้นอยู่กับพันธุ์
ฤดูปลูก และมาตรฐานความต้องการของตลาด โดยทั่วไปจะตัดแต่งให้เหลือ 2 ? 6 กิ่ง โดยคัดเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ การตัดแต่งให้เหลือ 2 กิ่งจะให้ผลขนาดใหญ่และคุณภาพสูง ปัจจุบันการปลูกพริกสี นิยมปลูกตัดแต่ง 2 กิ่งและปลูก 2 ต้นต่อหลุม เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวพริกหวานขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และฤดูปลูก โดยทั่วไปจะเก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 70 ? 130 วัน หลังย้ายปลูก พริกหวานสีเขียวเก็บเกี่ยวเมื่อผลเจริญเต็มที่ ผลแข็ง ผิวเรียบเป็นมัน หลังจากระยะสุกเขียว ผลจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีม่วง / แดง / เหลือง เอทธีลีน ( ethylene : C2H4) จะช่วยเร่งการพัฒนาสีของผล
ระยะเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับระยะทางที่จะส่งไปตลาด ตลาดในท้องถิ่น เก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนสี 80 % ส่วนตลาดที่ห่างไกล เก็บเกี่ยวเมื่อเริ่มเปลี่ยนสี 35 ? 60 %
การเก็บเกี่ยวจะใช้มีดที่บางและคม ตัดขั้วด้านที่ติดกับลำต้น ไม่ควรปลิดผลเนื่องจากจะทำให้ลำต้นฉีกขาด ควรให้มีขั้วติดผล เพื่อป้องกันการเน่าจากการเข้าทำลายของโรคที่แผลซึ่งเกิดจากการหลุดของขั้วแต่ควรระวังขั้วอาจจะทำให้ผลอื่น ๆ เกิดแผลในระหว่างการขนส่ง หลังเก็บเกี่ยว ควรล้างทำความสะอาดด้วยคลอรีนเข้มข้น 300 ppm และใช้น้ำอุณหภูมิ53 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันผลเน่าการลดความร้อนที่สะสมอยู่ในผลก่อนระยะเวลาเก็บเกี่ยว โดยรักษาอุณหภูมิของผลให้อยู่ระหว่าง 9 ? 10 องศาเซลเซียส การลดอุณหภูมิเฉียบพลันโดยใช้ forced air cooling หรือ hydrocooling หรือ vacuum cooling จะช่วยยืดระยะเวลาการเก็บรักษา แต่หลังจาก hydrocooling ควรใช้พัดลมเป่าให้แห้งเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของโรคผลเน่าการเคลือบผิวจะช่วยลดการคายน้ำ ป้องกันผลเหี่ยวและป้องกันการเกิดแผลระหว่างการขนส่ง การห่อผลด้วย moisture ? retentive films เช่น perforated polyethylene ช่วยให้เก็บรักษาได้นานกว่าปกติ1 อาทิตย์
อุณหภูมิในการเก็บรักษา
ผลพริกหวานไม่ทนทานต่อสภาพอุณหภูมิต่ำ ไม่ควรเก็บรักษาต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาอยู่ระหว่าง 8 ? 9 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงกว่า 12 องศาเซลเซียส กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของสี
แมลงศัตรูพริกหวาน
1. ไรขาว
ลักษณะการทำลาย ไรขาวจะดูดน้ำเลี้ยงที่ใบของพริก ทำให้เกิดใบม้วนงอหงิกและหัวโกร?น
การป้องกันและกำจัด
หมั่นตรวจดูยอดต้นพริกสม่ำเสมอ เมื่อพบไรขาว ควรฉีดพ่นด้วยกำมะถันผงชนิดละลายน้ำได้ให้ทั่วใต้ใบ โดยเฉพาะใบที่อยู่ส่วนยอด และฉีดวันเว้นวัน เมื่อเริ่มระบาด 2 ? 3 ครั้ง และเริ่มฉีดใหม่เมื่อพบศัตรูระบาด
เนื่องจากไรขาวจะระบาดมากในอุณหภูมิสูงและแห้งแล้งจึงป้องกันโดยรักษาแปลงปลูกให้มีความชื้นสูง โดยรดน้ำให้สม่ำเสมอ
2. เพลี้ยไฟ
ลักษณะการทำลาย เพลี้ยไฟจะดูดน้ำเลี้ยงและทำให้เกิดอาการยอดหดหรือใบหงิก โดยใบอ่อนที่ยอดเรียวยาวโค้งงอลง ขอบใบงอ ใบมีขนาดเล็กลง ผิวใบมีจุดสีน้ำตาลใบเหลืองและแข็งกรอบ เมื่อแตะ
ใบอ่อนเพียงเบา ๆ ก็จะหลุดร่วงอย่างง่ายดาย
การป้องกันกำจัด
ควรฉีดพ่นด้วยสารเคมีประเภทดูดซึม จะให้ผลดีและต้องฉีดพ่นให้ทั่วยอดและใต้ใบ ซึ่งศัตรูชนิดนี้หลบซ่อนตัวอยู่พริกอาจจะแตกยอดใหม่แต่จะให้ผลผลิตต่ำ การฉีดสารเคมีควรฉีดเวลา 10.00 ? 11.00 น.
3. เพลี้ยอ่อน
ลักษณะการทำลาย เพลี้ยอ่อนจะดูดน้ำเลี้ยงที่ใบส่วนยอดทำให้ยอดหงิก โดยใบพริกจะแสดงอาการ หยักเป็นคลื่นและหงิก ใบจะด่าง และมีขนาดเล็กลง พืชจะชะงักการเจริญและผลผลิตต่ำ
การป้องกันกำจัด
ฉีดสารเคมีเช่น เซฟวิน 85
4. หนอนกระทู้ผัก
ลักษณะการทำลาย หนอนกระทู้ผักมักจะพบเข้าทำลายในระยะที่พริกโตหรือตกพุ่ม ขณะที่หนอนยังเป็นตัวอ่อนการระบาดทำความเสียหายไม่รุนแรง การเข้าทำลายในระยะผลอ่อน จะกัดตรงโคนก้านส่วนที่ติดกับผลเป็นรูใหญ่ถ้าหากเป็นตัวอ่อนจะเข้าไปกัดกินไส้และเมล็ดในฝัก ส่วนหนอนตัวโตเต็มวัยจะกัดพริกเป็นรูจนถึงไส้และย้ายไปทำลายผลอื่นต่อไป หนอนชนิดนี้จะระบาดทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณที่ปลูกพืชผัก ฝ้ายและถั่ว ติดต่อกัน ตลอดปีการทำลายรุนแรงมักจะพบในฤดูฝน
การป้องกันและกำจัด
ใช้สารไล่แมลง จากน้ำหมักสมุนไพร
5. หนอนแมลงวันแตง
ลักษณะการทำลาย เจาะผลทำให้ผลเน่า มีหนอนอยู่ข้างใน ผลที่ถูกทำลายจะมีสีไม่สม่ำเสมอและร่วงก่อนผลสุก ถ้าหากสังเกตดูทั่วผล จะพบรูเล็ก ๆ อยู่กึ่งกลางผล ซึ่งเกิดจากแมลงวันแตงวางไข่
การป้องกันและกำจัด
ใช้สารไล่แมลง จากน้ำหมักสมุนไพร
6. หนอนเจาะผลมะเขือเทศ
ลักษณะการทำลาย จะระบาดตลอดทั้งปีโดยหนอนจะวางไข่ตามยอดอ่อนและดอกอ่อน ตัวหนอนที่ออก จากไข่จะกัดกินใบอ่อนก้านดอกหรือกลีบดอก การเข้าทำลายระยะที่พริกเป็นผลเล็ก หนอนจะ
เจาะเข้าไปกัดกินในผลทำให้ผลร่วงหรือเน่าทำความเสียหายรุนแรงกว่าหนอนกระทู้ผัก
การป้องกันกำจัด
ใช้สารไล่แมลง จากน้ำหมักสมุนไพร
โรคพริกหวาน
1. โรคต้นและใบไหม้
ลักษณะอาการ โรคนี้เกิดกับพริกได้ทุกระยะของการเจริญ และทุกส่วนของพืช ขึ้นอยู่กับระยะการเจริญและส่วนของพืชที่ถูกทำลาย การเข้าทำลายในระยะต้นอ่อน อาการจะคล้ายกับการทำลายของโรคโคนเน่า โดยเชื้อสาเหตุจะเข้าทำลายบริเวณโคนต้น แผลจะมีลักษณะคล้ายโดนน้ำร้อนลวก ทำให้ต้นกล้าล้มพับลง และแห้งตาย ส่วนการทำลายในระยะที่ต้นโต จะทำให้เกิดอาการรากเน่า ลำต้น กิ่ง จะเกิดเป็นแผลสะเก็ด ใบไหม้ ผลแห้งหรือเน่าโรคนี้จะระบาดมากในสภาพที่มีความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิสูงอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการเข้าทำลายของเชื้อสาเหตุอยู่ระหว่าง 8 ? 38 องศาเซลเซียส
การป้องกันและกำจัด
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดมากับเมล็ดพันธุ์ดังนั้นก่อนเพาะควรแช่เมล็ดในน้ำอุ่น50 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 20 นาที ฉีดพ่นสารจากน้ำหมักสมุนไพร
2. โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุจะเข้าทำลายราก หรือส่วนของต้นที่อยู่ระดับและอยู่ใต้ดินเมื่อรากส่วนใหญ่ถูกทำลายพืชจะแสดงอาการ โดยใบที่อยู่ตอนล่างเหลืองและร่วงมาก ทำให้ทรงพุ่มบางตาต่อจากนั้นจะมีอาการเหี่ยวในเวลากลางวันช่วงที่มีแดดร้อนจัด และฟื้นในตอนเช้าสลับกัน 2 ? 7 วัน แล้วจะเหี่ยวอย่างถาวรไม่มีการฟื้นอีก เชื้อสาเหตุจะระบาดรุนแรงในสภาพอุณหภูมิและความชื้นในดินสูงอุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 24 ถึง 28 องศาเซลเซียส ถ้าหากต่ำกว่า 17 หรือสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส การเจริญจะช้าหรือไม่เจริญเลย
การป้องกันและกำจัด
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดมากับเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นก่อนเพาะควรแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที ควรปรับสภาพดินให้เป็นกลาง เนื่องจากเชื้อสาเหตุจะเจริญได้ดีในดินที่เป็นกรดจัด ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและเพื่อให้ดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ใช้สารเคมีเช่น เบนเลทผสม แคปเทนและน้ำ อัตรา 6:6:100 ราดก้นหลุมก่อนปลูกและราดโคนต้นหลังย้ายปลูก 15 วัน
3. โรครากเน่าโคนเน่า
ลักษณะอาการ โคนต้นจะเน่าสีน้ำตาล ในดินแถวโคนต้นมีเส้นใยราสีขาว ซึ่งบางส่วนจะเจริญขึ้นไปเกาะอยู่ตามโคนและรากต้นพริก จะสังเกตเห็นเม็ดราสีขาว น้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแก่ขนาดเท่าเมล็ดผักกาด ปะปนอยู่กับเชื้อราดังกล่าว ต้นที่โรคเข้าทำลาย แสดงอาการใบเหลือง และเหี่ยวตายในที่สุด
การป้องกันและกำจัด
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดมากับเมล็ดพันธุ์ ดังนั้นก่อนเพาะเมล็ดควรแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที ปลูกพืชหมุนเวียนอย่างน้อย 5 ปี ใช้ปูนขาวคลุกหน้าดินก้นหลุมก่อนปลูก ใช้สารเคมีเช่น เทอราคลอ ราดบริเวณโคนต้น
4. โรคใบด่าง จากเชื้อไวรัส
ลักษณะอาการ ใบพริกจะด่าง มีสีเหลืองสลับเขียว ใบหยักเป็นคลื่น บิดงอ อาการด่างเป็นลายไม่สม่ำเสมอ บางแห่งจะมีลายด่างมากบางแห่งจะมีน้อย เกิดขึ้นประปรายทั่วใบ ถ้าหากเข้าทำลายระยะต้นกล้าจะแคระแกร็นไม่ให้ผลผลิต การแพร่ระบาดของโรคเกิดขึ้นโดยเพลี้ยอ่อน เป็นตัวพาหะ
การป้องกันและกำจัด
ฉีดสารสารน้ำหมักสมุนไพร
ลักษณะผลที่ผิดปกติ
อาการตายนึ่งของผล
อาการเริ่มแรกผิวของผลด้านที่โดนแสงอาทิตย์ส่อง จะปรากฎแผลสีขาว นิ่มและยุบตัว แผลอาจจะมีขนาดใหญ่ถึง 1/3 ของผล จะเกิดมากในสภาพที่ความเข้มแสงและอุณหภูมิสูง พืชมีทรงพุ่มขนาดเล็ก ใบไม่สามารถปกคลุมผลได้
อาการก้นเน่า
การปลูกพืชในสภาพที่ขาดแคลเซียม PH ต่ำ ขาดหรือมีน้ำมากเกินไป ส่วนปลายของผล จะเกิดเป็นแผลซ้ำ ต่อจากนั้นแผลจะแห้ง สีน้ำตาล หลังจากนั้นเชื้อโรคจะเข้าทำลายทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนเป็นสีดำ
ที่มา
รศ. นิพนธ์ ไชยมงคล สาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร
ป้ายคำ : ผักพื้นบ้าน