การพาสเจอร์ไรส์เป็นกระบวนการให้ความร้อนที่ไม่รุนแรงนัก มักจะทำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100C เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารให้นานหลายวัน เช่น นม หรือหลายเดือน เช่น ผลไม้บรรจุขวด วิธีนี้สามารถใช้ในการถนอมอาหารได้โดยการยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์และทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความทนทานต่อความร้อนต่ำ เช่น เชื้อแบคที่เรียที่ไม่สร้างสปอร์ ยีสต์และรา และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านประสาทสัมผัสและคุณค่าของอาหารน้อยที่สุด ความรุนแรงของการให้ความร้อนกับผลการยืดอายุผลิตภัณฑ์กำหนดได้โดย pH ของอาหาร วัตถุประสงค์หลักสำหรับอาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ (pH > 4.5) คือการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ส่วนวัตถุประสงค์หลักสำหรับอาหารที่มีความเป็นกรดสูง (pH < 4.5) คือการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการเน่าเสียและยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์
การบรรจุอาหารเหล่านี้ไม่ว่าจะสำหรับอาหารที่มีความเป็นกรดตามธรรมชาติ เช่น น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีการเติมสารหรือทำให้ pH ลดต่ำลง เช่น ผลไม้หมักดอง มีขั้นตอนคล้ายกับการบรรจุกระป๋อง การพาสเจอร์ไรส์เป็นการบ่งบอกถึงการให้ความร้อนที่ไม่รุนแรงนัก
การพาสเจอร์ไรส์ (Pasteurization) เป็นการถนอมอาหารชั่วคราววิธีหนึ่ง โดยใช้ความร้อนในอุณหภูมิระหว่าง 60 – 80 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
พาสเจอร์ไรส์เป็นการตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ซึ่งเป็นคนแรกที่คิดค้นการฆ่าจุลชีพที่แปลกปลอมอยู่ในเหล้าไวน์ระหว่างปี พ.ศ. 2407-2408 โดยการใช้ความร้อนประมาณ 50 – 60 องศาเซลเซียส ซึ่งการค้นพบนี้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากในการผลิตเครื่องดื่มที่ต้องฆ่าจุลชีพ แต่ใช้อุณหภูมิสูงมากไม่ได้ เพราะจะทำให้รสและกลิ่นเปลี่ยนแปลงและในปี พ.ศ.2434 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ ซอกเลต (Soxhlet) จึงได้นำวิธีการนี้มาใช้กับนมสด
หลักการ
ความร้อนเป็นพลังงานรูปหนึ่งเมื่อมีอยู่ในสิ่งใดจะทำให้โมเลกุลของสิ่งนั้นเกิดการเคลื่อนไหว ความร้อนทำให้สารโปรตีนแข็งตัวจับกันเป็นก้อนและหมดฤทธิ์โดยการเร่งปฏิกิริยาทางเคมี ความร้อนจึงทำลายเอนไซม์และสามารถทำลายจุลชีพได้ ณ อุณหภูมิน้ำเดือด แต่มีจุลชีพที่พบบางชนิดสร้างเกราะเรียกว่า “สปอร์” หุ้มตัวเอง ทำให้สามารถต้านทานอุณหภูมิน้ำเดือดได้แต่จะตายเมื่อใช้ความร้อนสูงกว่าอุณหภูมิน้ำเดือดภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
วิธีการพาสเจอร์ไรส์
วิธีการพาสเจอร์ไรส์มี 2 วิธีคือ
ประโยชน์และข้อควรปฏิบัติ
การพาสเจอร์ไรส์เป็นการถนอมอาหารแบบชั่วคราว เพราะสามารถป้องกันมิให้จุลชีพเจริญในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่สารอาหารยังอยู่ครบถ้วนหรือเกือบครบถ้วน ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่ออาหารที่ต้องรับประทานเป็นประจำแต่ไม่เก็บไว้นาน ๆ เช่น นม น้ำผลไม้ ไอศกรีม ก่อนนำไปปั่นแข็ง เป็นต้น
การบรรจุอาหารเหล่านี้ไม่ว่าจะสำหรับอาหารที่มีความเป็นกรดตามธรรมชาติ เช่น น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีการเติมสารหรือทำให้ pH ลดต่ำลง เช่น ผลไม้หมักดอง มีขั้นตอนคล้ายกับการบรรจุกระป๋อง การพาสเจอร์ไรส์เป็นการบ่งบอกถึงการให้ความร้อนที่ไม่รุนแรงนัก
ผลกระทบต่ออาหาร
การพาสเจอร์ไรซ์เป็นกระบวนการที่ไม่ค่อยรุนแรงถึงแม้จำทำร่วมกับกระบวนการอื่นๆเช่นการฉายรังสีและการแช่เย็นจึงทำให้อาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพด้านโภชนาการและประสาทสัมผัสของอาหารน้อยมาก อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะสามารถยืดอายุของผลิตภัณฑ์ออกไปได้เป็นหลายวันหรือหลายอาทิตย์เท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาหลายเดือนเมื่ออาหารผ่านกระบวนการสเตอริไรซ์ซึ่งเป็นการให้ความร้อนที่ค่อนข้างจะรุนแรง
ในการแปรรูปไข่ ไข่ถูกตีให้แตก แยก และแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเชิงการค้าหรือเพื่อเพิ่มอายุการเก็บรักษา โดยมีมาตรฐานทั้งสำหรับไข่ทั้งฟอง ไข่ขาว ไข่แดงในรูปของเหลวหรือแช่เยือกแข็งหรืออบแห้ง มีไข่ในรูปต่างๆ ตั้งแต่ไข่แดงใส่เกลือ ใส่น้ำตาล หรือไข่ทั้งฟองตีผสมกันตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ไข่ขาวอาจมีวางขายในรูปของผลิตภัณฑ์ที่เติมสารช่วยในการตีให้ขึ้นฟูเป็นครีม (whippilng aid)
ในไข่เหลวอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคและจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดความเน่าเสีย ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นภายใต้สภาวะการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสมหรืออาจเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนในอาหารที่ให้ความร้อนไม่เพียงพอหรืออาหารที่ให้ความร้อนน้อยที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ผสมไข่ ไข่ที่แต่งหน้าขนม ดังนั้นจึงมีการพาสเจอร์ไรซ์ผลิตภัณฑ์ไข่ภายใต้สภาวะที่สามารถทำลายซาลโมเนลลาที่มีในผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้จะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการเน่าเสียด้วย
มีการใช้กระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ไข่เหลวทั้งหมดซึ่งรวมทั้งไข่ขาวและไข่แดงเป็นเวลานานหลายปีด้วยการให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 60-61 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3.5 นาที เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคการให้ความร้อนนี้จะไม่มีผลต่อลักษณะหรือสมบัติของไข่สำหรับทำคัสตาร์ด เค้ก หรือมายองเนส แม้ว่าการใช้พาสเจอร์ไรส์ควบคู่กับการแช่เยือกแข็งอาจมีผลต่อการเกิดฟองของไข่นอกจากว่าจะมีการโฮโมจจีไนเซชันไข่ด้วย ในกระบวนการดังกล่าว ( Sugihara และคณะ(1966))
สี กลิ่นและรส
ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลโดยเอนไซม์โพลีฟินอลออกซิเดสเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สีของน้ำผลไม้เกิดการเปลี่ยนแปลง ออกซิเจนจะเป็นตัวเร่งการเกิดสีน้ำตาล เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปจะต้องกำจัดอากาศในน้ำผลไม้ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพาสเจอร์ไรส์ ความขาวของนมดิบกับนมพาสเจอร์ไรส์ต่างกันเนื่องจากการฮีโมจิไนเวชัน ไม่ใช่สาเหตุจากการพาสเจอร์ไรส์ การพาสเจอร์ไรส์ไม่มีผลต่อสีในพืชและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ชนิดอื่นๆด้วย การสูญเสียกลิ่นเพียงเล็กน้อยในระหว่างการพาสเจอร์ไรส์น้ำผลไม้ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ลดลงและอาจกลบกลิ่นไหม้่ อื่นๆ ของอาหารได้อาจมีการเก็บเกี่ยวสารหอมระเหย เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของน้ำผลไม้ให้ดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป การสูญเสียสารหอมระเหยของนมดิบช่วยลดกลิ่นหญ้า และทำให้ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นรสนั่มนวลขึ้น
การสูญเสียวิตามิน
ได้อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคุณค่าทางอาหารเนื่องจากกรรมวิธีการแปรรูปไปแล้ว อย่างใรก็ตามสามารถลดการสูญเสียวิตามินซี และคาโรทีนในน้ำผลไม้ได้โดยการกำจัดอากาศออกก่อน การเปลี่ยนแปลงในนมได้แก่ การสูญเสียโปรตีนเซรุ่ม 5% และวิตามินเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ป้ายคำ : เทคโนโลยี