ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติวัดป่ายาง ของชุมชนป่ายาง มีหลักสูตรการศึกษาและพัฒนาชีวิตที่ชื่อว่า “หลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักสูตร 4 คืน 5 วัน เมื่อผ่านหลักสูตรนี้แล้ว ทางศูนย์ฯ คาดหวังว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรม จะสามารถพัฒนาชีวิตของตนเอง จนถึงระดับที่สามรถพึ่งตนเองได้ทั้งกายและใจ ส่วนแต่ละคนจะพึ่งได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความ “ตั้งใจ” และ “จริงใจ” ของแต่ละคน เพราะทางศูนย์เชื่อว่า “ทุกคนสามารถพึ่งตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจได้” ถ้า “เอาจริง” แม้ไม่ต้องมาผ่านหลักสูตรนี้ ก็สามารถทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและเอาจริง เพียงแต่ว่า หลักสูตรที่ศูนย์จัดขึ้น จะมีเครื่องมือช่วยให้การพัฒนาชีวิตไปสู่การพึ่งตนเองได้ โดยไม่ต้องไปลองผิดลองถูก ขอเพียงแต่นำความรู้ที่ได้ ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 90 วัน เราก็จะสามารถเดินตามหนทางไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติวัดป่ายาง ก่อตั้งมาเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี จนเป็นที่รู้จักของชาวนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดี ที่นี่เน้นการพัฒนาศักยภาพคน มากกว่าเรื่องเงิน ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 20 กว่ากลุ่ม ซึ่งทุกกลุ่มจะมีการทำงานเป็นเครือข่าย เชื่อมโยงกัน การระดมทุน ให้ชาวบ้านถือหุ้น หุ้นละ 10 บาท ถือหุ้นได้ไม่เกิน 100 หุ้น
เป็นการกระจายรายได้ให้กับชาวบ้าน และเป็นการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตรให้กับบุคคลผู้ที่สนใจ

มีการแบ่งฐานการเรียนรู้ เป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มโรงน้ำ
- กลุ่มโรงปุ๋ย
- กลุ่มร้านค้า
- กลุ่มศูนย์ฝึกอบรม
- กลุ่มแปลงเกษตร

รวมทั้งกลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มโรงสี กลุ่มน้ำส้มควันไม้ กลุ่มน้ำหมักชีวภาพ กลุ่มสมุนไพร กลุ่มปุ๋ยอัดเม็ด กลุ่มผักสวนครัว กลุ่มน้ำมันไบโอดีเซล กลุ่มทำนา และที่สำคัญ คือ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมที่เน้นการพัฒนาคน ให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการได้คิดด้วยตนเอง มีการทำกิจกรรมเสริมอีกมากมาย โดยนำหลักศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งหากใครได้มีโอกาสมาศึกษาดูงาน จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังไม่อยากกลับ เพราะที่นี่มีแหล่งเรียนรู้มากมาย พร้อมทั้งสถานที่ ที่ชวนให้พักอยู่ต่อหลายๆวัน
ปุ๋ยพืชสด
วัสดุอุปกรณ์
- พืชตระกูลถั่ว
- พืชชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว
- พืชน้ำ
ขั้นตอนการทำปุ๋ยพืชสด
- ปลูกพืชที่จะนำมาทำปุ๋ยพืชสด 3 กลุ่ม พืชดังที่กล่าวข้างต้นร่วมกับพืชปลูกในแปลงผัก
- เมื่อถึงกำหนดอายุของพืชที่จะนำมาทำปุ๋ยพืชสด ให้ตัดสับและไถกลบลงในแปลงปลูก
การใช้ประโยชน์
- ช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและเพิ่มธาตุไนโตรเจนให้แก่พืชปลูก
- ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินและทำให้ดินร่วนซุยสะดวกในการไถดิน
- กรดจากการย่อยสลายช่วยละลายธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่พืชปลูก
- ช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีเพราะดินมีธาตุอาหารเพียงพอต่อพืชปลูก
- ลดอัตราการสูญเสียดินเนื่องจากการชะล้างพังทลายของดิน
น้ำหมักชีวภาพ
วัสดุอุปกรณ์
- มูลสัตว์แห้งละเอียด 3 ส่วน
- แกลบดำ 1 ส่วน
- อินทรียวัตถุอื่น ๆ ที่หาได้ง่าย เช่น แกลบ ชานอ้อย ขี้เลื่อย เปลือกถั่ว ลิสง เปลือกถั่วเขียว ขุยมะพร้าว กากปาล์ม เปลือกมัน เป็นต้น 3 ส่วน
- รำละเอียด 1 ส่วน
- สารเร่ง พด. หรือ EM 1 ส่วน
- กากน้ำตาล 1 ส่วน
- น้ำ 100 ส่วน
- บัวรดน้ำ
ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
- นำวัสดุต่าง ๆ มากองช้อนกันเป็นชั้น ๆ แล้วคลุกเคล้าจนเข้ากันดี
- เอาส่วนผสมของ EM กับน้ำตาลและน้ำคนจนละลายเข้ากันดี ใส่บัวราดบนกองวัสดุปุ๋ยหมัก คลุกให้เข้ากันจนทั่วให้ได้ความชื้นพอหมาด ๆ อย่าให้แห้งหรือชื้นเกินไป (ประมาณ 30-40%) หรือลองเอามือขยำบีบดู ถ้าส่วนผสมเป็นก้อนไม่แตกออกจากกันและมือรู้สึกชื้น ๆ ไม่แฉะแสดงว่าใช้ได้ ถ้าแตกออกจากกันยังใช้ไม่ได้ต้องรดน้ำเพิ่ม
- หมักกองปุ๋ยหมักไว้ 7 วัน นำไปใช้ได้
วิธีการใช้
- ผสมปุ๋ยหมักชีวภาพกับดินในแปลงปลูกผักทุกชนิดในอัตรา 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
- พืชผักอายุเกิน 2 เดือน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตง และฟักทอง ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพคลุกกับดินรองก้นหลุม ก่อนปลูกผักประมาณ 1 กำมือ
- ไม้ผลควรรองก้นหลุมด้วยเศษหญ้าใบไม้แห้ง ฟางและปุ๋ยหมักชีวภาพ 1-2 กิโลกรัม สำหรับไม้ผลที่ปลูกแล้วใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ แนวทรงพุ่ม กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเมตร แล้วคลุมด้วยหญ้าแห้งหรือใบไม้แห้ง หรือฟาง ควรใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ เดือนละ 1 ครั้งๆ ละ 1 กำมือ
การใช้ประโยชน์
- ทำให้โครงสร้างของดินและการซึมผ่านของน้ำดีขึ้น
- เพิ่มการดูดซับธาตุอาหารหลักและลดความเป็นพิษของธาตุบางชนิด
- เพิ่มกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินและลดปริมาณเชื้อโรคพืชบางชนิด
- การระบายอากาศของดินและรากพืชแผ่กระจายได้ดีขึ้น
- ดินค่อย ๆ ปล่อยธาตุอาหารพืชและลดการสูญเสียธาตุอาหารของพืช
น้ำส้มควันไม้
**วิธีทำน้ำส้มควันไม้**
อุปกรณ์
- ไม้ไผ่ซางทะลุกลางปล้องมีความยาวอย่างน้อย 5 เมตร ขึ้นไป 1 ท่อน
- ไม้สำหรับค้ำยัน
- ขวดน้ำอัดลม
- หวดนึ่งข้าว
- มีด ค้อน จอบ และเสียม
วิธีการดักเก็บน้ำส้มควันไม้
- นำไม้ไผ่ซางที่ทะลุปล้องมาจ่อตรงปลายท่อควัน โดยจะดักเก็บน้ำส้มควันไม้ในช่วงที่ควันมีสีขาวขุ่น คือ ระยะที่ 2 ใช้หวดนึ่งข้าว หุ้มเพื่อบังคับควันให้ผ่านไม้ไผ่ เมื่อควันผ่านไม้ไผ่ที่เย็นจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำไหลลงมา ดังนั้นจึงทำปล่อง รู สำหรับดักเก็บน้ำ ใช้กระป๋องรองรับข้างใต้
- การดักเก็บน้ำส้มไม้ จะได้ประมาณ 1-2 ลิตรต่อครั้ง ซึ่งจะต้องนำใส่ภาชนะที่ปิดมิดชิด เช่น ขวดสีขาว แล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่มอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ น้ำมันทาร์ ตกตะกอน จากนั้นจะทำการแยกน้ำส้มไม้ซึ่งตรงชั้นกลาง (ชั้นบนเป็นน้ำ ชั่นล่างเป็นน้ำมันทาร์) โดยใช้สายยางดูดออก นำไปเก็บไว้ในที่ร่ม และใช้ประโยชน์ต่อไป

แปลงสาธิตจะมีทั้งแปลงปลูกผักและนาข้าว
การทำนาข้าวอินทรีย์
- คัดเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับ
- เตรียมคูคันนาให้มีความสูงประมาณ 50-70 เซนติเมตร ความหนา 60-80 เซนติเมตร เพื่อกักเก็บน้ำ
- ปรับพื้นที่ในคันนาให้มีระดับเท่ากันอย่าให้มีน้ำเอียงด้านใดด้านหนึ่ง
วิธีเตรียมแปลงเพาะกล้าพันธุ์ข้าว
- ที่มีน้ำขังพอที่จะหว่านกล้า เราก็ไถและคราดดินให้ร่วนซุย และระดับพื้นเสมอกันปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วนำเมล็ดข้าวที่เตรียมไว้มาหว่านอย่าให้หนาหรือห่างจนเกินไป
- ประมาณ 10-15 วัน ต้นกล้าตั้งหน่อได้แข็งนำน้ำจุลินทรีย์ ผสมน้ำพ่นต้นกล้าโดยผสมน้ำจุลินทรีย์ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตรพ่นให้ทั่วแปลงกล้า
- ขังน้ำใส่ต้นกล้า อย่าให้ขาดจากแปลงกล้า
- ก่อนจะถอนกล้า 5 วัน ให้น้ำจุลินทรีย์พ่นอีก เพื่อจะได้ถอนง่ายเพราะรากจะฟู
การปักดำ
ในช่วงก่อนการปักดำ เราควรขังน้ำไว้ในนาเพื่อจะทำให้ดินนิ่ม ดินไม่แข็ง ง่ายในการไถดำ
- พอถึงเวลาดำนา ปล่อยน้ำที่ขังออกจากคันนา ให้เหลือไว้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร
- ไถน้ำและคราดที่นาให้ดินร่วนซุย และนำต้นกล้ามาปักดำซึ่งกำหนดความห่างระหว่างต้นให้ห่างประมาณ 40 เซนติเมตรเพื่อให้แตกกอได้ดีและใส่ต้นกล้า กอละประมาณ 2-3 ต้นกล้า
- หลังปักดำ 15 วัน นำจุลินทรีย์ไปผสมน้ำพ่นต้นข้าวในนาเพื่อกระตุ้นเชื้อจุลินทรีย์ที่หว่านตอนเตรียมดิน และจะทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ทนต่อศัตรูข้าว
- ดูแลระดับน้ำอย่าให้ขาดถอนวัชพืช และพ่นจุลินทรีย์ในทุก ๆ 20 วันจนถึงข้าวตั้งท้องแล้วจึงงดการพ่นจุลินทรีย์
- พอข้าวแก่พอสมควรก็ปล่อยน้ำจากคันนาและเตรียมเก็บเกี่ยวต่อไป
ประโยชน์การทำนาข้าวอินทรีย์
- ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตมากขึ้น เพราะการให้ปุ๋ยจุลินทรีย์จะทำได้ผลผลิต800 กิโลกรัมต่อไร่ โดยต้นทุนในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพียงแค่ประมาณ 200 บาท ต่อไร่โดยอาจจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากในตอนแรก แต่จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อสภาพดินดีแล้วในขณะที่การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลผลิตประมาณ 400 กิโลกรัมต่อไร่โดยต้นทุนการผลิตประมาณ 400 บาท ต่อไร่ และต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้มากขึ้นในทุก ๆปี
- ได้สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์กลับคืนมา ดินร่วนซุย รากข้าวชอนไชหาอาหารง่าย กบกุ้ง ปลา ชุกชุม มีสุขภาพชีวิตที่ดี มีอาหารปลอดสารพิษไว้บริโภค
วัดป่ายาง “ชุมชนอาริยะ คือจุดหมายของเรา” หมู่ 4 ต.ท่างิ้ว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 80280
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติเศรษฐกิจพอเพียง เครือข่าย มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ

ภาพประกอบ : ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านบุญ (http://www.banboon.org/)