ศูนย์อินแปง อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน ที่มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของสมาชิกอย่างต่อเนื่อง มีสมาชิกเครือข่าย ๘๔ หมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเลิงที่อยู่รอบๆ ภูพาน มีกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ชุมชน ได้แก่ กลุ่มเด็กฮักถิ่น และทำกิจกรรมการแปรรูปผลผลิต การรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านการอนุรักษ์และการขยายพันธุ์พืช โดยมีพ่อเล็ก กุดวงศ์แก้ว เป็นแกนนำสำคัญของกลุ่ม ฯ
อินแปง เกิดจากแนวคิดที่ว่า การพัฒนาแบบเอาปัญญามาก่อนเงิน โดยคนในชุมชนจะร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของทุนและทรัพยากรในชุมชนที่มีอยู่ อาทิ วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ดิน น้ำ ป่า ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น จากนั้นจึงร่วมกันกำหนดเป็นแผนการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นการผลิตให้พออยู่พอกิน ถ้าเหลือจึงขายหรือแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งทำควบคู่ไปกับการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชุมชนจำนวน 132 ป่าพื้นที่รวมทั้งสิ้น 150,000 ไร่
ทั้งนี้ ผลจากความร่วมมือร่วมใจของชุมชนในศูนย์อินแปงตลอดกว่า 10 ปี ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ความหลากหลายของพันธุ์พืชพื้นเมืองบริเวณเทือกเขาภูพานได้กลับคืน ยังเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี และสมควรที่จะสนับสนุนให้ชุมชนอื่นๆได้เข้าไปเรียนรู้แนวคิด และกระบวนการบริหารจัดการของศูนย์อินแปง เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับชุมชนอื่นต่อไป
ผู้นำกลุ่มอินแปงพ่อเล็ก ” หรือ นายเล็ก กุดวงศ์แก้วเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาเป็นอินแปงนั้นเดิมทีแล้วมีชื่อว่า “กลุ่มกองทุนพันธุ์ไม้พื้นบ้าน” แต่ภายหลังพ่อบัวศรี ศรีสูงปราชญ์ชาวบ้านมหาสารคามผู้ล่วงลับไปแล้วได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “อินแปง”ปราชญ์ชาวบ้านมหาสารคามผู้ล่วงลับไปแล้วได้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “อินแปง”
คำว่า “อิน” ตามหลักพระพุทธศาสนา แปลว่า ผู้ใหญ่
คำว่า “แปง” แปลว่า สร้าง
กล่าวคือ ผู้ใหญ่สร้าง และความหมายโดยรวมก็คือเราเป็นผู้ใหญ่เราควรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อลูกเพื่อหลานน่าจะเป็นคำแปลที่เข้าท่ามากที่สุด
“อินแปง” เป็นกลุ่มประชาชนจากหลายพื้นที่อพยพมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ ชุมชนบ้านบัว ต.กุดบาก อ.กุดบาก จ.สกลนคร มาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ ชุมชนบ้านบัว ต.กุดบาก อ.กุดบาก จ.สกลนครแต่เมื่อความเจริญเข้ามา ทำให้บ้านบัวและหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งตั้งอยู่ที่ตีนเขาภูพานนั้นได้ลดความอุดมสมบูรณ์ลงไปมากเนื่องจากชาวบ้านเข้าไปถางป่าปลูกปอปลูกมันกัน
“เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านจึงเกิดคำถามว่า การพัฒนาที่พูดถึงกันนี้แปลก เพราะคำว่าพัฒนาน่าจะแปลว่าเจริญขึ้น ดีขึ้นมีความสุขขึ้น แต่นี่พัฒนาอย่างไรไม่ทราบ แทนที่จะรวยขึ้น กลับจนลงเป็นหนี้เป็นสิน ไม่มีเงินพอซื้อข้าวกิน ลูกหลานหนีเข้าเมืองไปรับจ้างเป็นทุกข์กันทั้งบ้านทั้งเมือง”
“อะไรที่อยู่ในป่าพอขายได้ก็เอาไปขายหมด ตั้งแต่ไม้ที่ลักลอบตัดสัตว์ป่าที่ลอบล่า ไปถึงพืชผักป่านานาชนิด เช่น ยอดหวาย หน่อไม้ ผักหวานไข่มดแดง เห็ด ผลไม้ป่า และผักป่าทุกชนิดที่เอาไปขายได้ก็เก็บกันไปหมดไม่มีเหลือเก็บไม่ทันใจก็ตัดโค่นไม้ลงมา อยากได้ปลา แทนที่จะเอาแหไปทอดเอาเบ็ดไปตกไม่ ทันใจก็เอาไฟฟ้าไปช็อต”
“เก็บกินก็น่าจะพอ แต่ถ้าหาและเก็บขายจะไม่ มีวันพอขาย หากินกันล้างผลาญแบบนี้ ธรรมชาติผลิตตามไม่ทัน ไม่นานป่าก็เตียน อาหารธรรมชาติในป่าซึ่งเป็นตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เกต ใหญ่ของชาวบ้านก็เริ่มร่อยหรออยากได้ยอดหวายสักสองยอด ผักหวานสักกำมาแกงก็ต้องเดินเป็นครึ่งๆ วัน..”ความคิดที่ชาวบ้านได้มาตั้งวงสนทนากัน
สิ่งเหล่านี้เองได้สะท้อนให้เห็นปัญหาที่กำลังรุนแรงขึ้น
ชาวบ้านจึงเกิดแนวความคิดร่วมกัน ในการที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองและชุมชน จึงได้รวมกลุ่มกันขึ้นกับตนเองและชุมชน จึงได้รวมกลุ่มกันขึ้นช่วงแรกชาวบ้านเหล่านี้ได้ไปศึกษาดูงานการเพาะพันธุ์หวายพื้นบ้านแล้วกลับมาเพาะขยายพันธุ์เอง มีการจัดตั้งเป็นกองทุนกลาง มีการเลี้ยงหมูดำเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิหมู่บ้าน ไปซื้อหมูมาแจก ให้แก่สมาชิกเลี้ยง
และให้ส่งลูกหมูคืนเพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่สมาชิกคนอื่นๆ ต่อไปซึ่งได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี
หลักการอันแน่วแน่ ในการที่จะพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืนในพื้นที่รอบป่าเทือกเขาภูพาน ได้ถูกสืบทอดด้วยยุทธวิธีต่างๆคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในชุมชน เข้ามาทำหน้าที่ประสานงานให้แก่กลุ่มอินแปงและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในท้องถิ่นมากขึ้นโดยเริ่มประสานงานกับสำนักงานปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรม (ส.ป.ก.),ศูนย์ศึกษาและพัฒนาวนศาสตร์ ชุมชนที่ 3, สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร และได้ประสานความร่วมมือกันเป็นเครือข่ายเกษตรกรรมนิเวศน์ภูพานโดยมีชุมชนที่เข้าร่วมเครือข่าย 22 ชุมชน จำนวน 289 คนโดยส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน
การศึกษาและวิจัยการขยายพันธุ์ไม้พื้นบ้านที่มีอยู่รอบเทือกเขาภูพานและการแปรรูปพืชผักผลไม้พื้นบ้านโดยเฉพาะไวน์มะเม่าที่ราชมงคลสกลนคร (รม.) นำมาถ่ายทอดให้แก่กลุ่มแม่บ้านอินแปง เวลานี้ผลิตขายทำรายได้กว่า 70,000 บาท/เดือน
ในปีต่อๆ มา กลุ่มก็เพิ่มความเข้มแข็งขึ้นไปอีก เมื่อหน่วยงานต่างๆได้เข้ามาให้การสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น การผลิตยาสมุนไพรพื้นบ้านจากญี่ปุ่น จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกระทรวงวิทย์ฯ จากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (UNDP) จากกระทรวงเกษตรฯกระทรวงวิทย์ฯ จากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (UNDP) จากกระทรวงเกษตรฯและจากกองทุนทางสังคม (MENU 5) ปัจจุบันเครือข่ายอินแปงได้ขยายเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี’42มีสมาชิกในเครือข่ายพื้นที่รอบป่าเทือกเขาภูพาน 3 จังหวัด คือ สกลนคร กาฬสินธุ์ และอุดรธานี รวม 600 ครอบครัว และยังมีการขยายเครือข่ายต่อไป
สรุปแนวคิดและภารกิจอินแปง ภูพานคือชีวิต หัวใจสำคัญของป่าภูพาน พบว่าป่าภูพานเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีความสำคัญต่อพี่น้องชาวอีสาน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ,อุดรธานี ,กาฬสินธุ์ ,มุกดาหารและนครพนม ที่มีลำห้วยสายสำคัญคือ
ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งทั้งหลาย
อีกทั้งป่าภูพานยังมีความหลากหลายของพันธุ์ไม้นานาชนิด มีไม่ต่ำกว่า 2,000ชนิด และเป็นต้นทุนมหาศาล เป็นโรงงานผลิต ออกซิเจน ( O2 )ให้ผู้คนได้หายใจ เป็นตลาดสดที่มีอาหารตามฤดูกาล หล่อเลี้ยงผู้คนพี่น้องชาวอีสาน มาเป็นเวลานาน คนที่นี่ไม่ได้โตมาจาก ไก่พันธุ์ ไม่ได้โตจากผักคะน้า ผักกะหล่ำแต่เขาโตจากพืชผักพื้นบ้านที่อยู่ตามป่าตามดง เช่น ผักหวาน,ผักเม็ก,ผักติ้ว,ผักกูด ผักหนาม,หน่อไม้,เห็ด ฯลฯ อันเป็นปัจจัย 4 ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สืบทอดกันมาหลายร้อยพันปี จนกลายมาเป็นวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ สืบต่อกันมาบนพื้นฐานการพึ่งพา การเคารพธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งแค่ช่วงเวลา 30-40 ปีที่ผ่านมานี้มีการส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ชาวบ้านจึง หันมาปลูกปอ,ปลูกมัน ด้วยความอยากรวย น่าเชื่อไหมครับต้นไม้พะยูง ไม้ยาง ขนาด 5 – 6 คนโอบเป็นป่าเต็มไปหมด เราก็กล้าตัดเพื่อมาปลูกต้นปอ,ปลูกอ้อย ลำต้นเท่าหัวแม่มือ
โรงเรียนเขาก็ไม่เคยสอน เรื่องต้นไม้บ้านเราว่ามันมีคุณค่าอย่างไร เขาสอนแต่ มะม่วง,มะขามหวาน,มังคุด,ลำไย, ลิ้นจี้ มันเป็นยุค คนหาแต่เงินอย่างเดียว ป่าหมดอาหารก็หมด 30-40 ปีมานี้เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง สุดท้ายบ้านแตกลูกหลานไม่อยู่บ้านไปทำงานกรุงเทพฯ ไปทำงานต่างประเทศลูกไปทางแม่ไปทางหาความสุขกันไม่ได้ เคยพึ่งพาอาศัยกันก็ลำบากขึ้น เป็นหนี้สิน เป็นยุคซาวหน้าซาวหลังของชาวนา เกิดความสับสนไม่รู้จะไปทางไหนดี ในเวทีเสวนาของคนเฒ่าคนแก่ที่สะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของชุมชน ปี 2544
ขอบเขตของสมาชิก
การทำงานในพื้นที่รอบเทือกเขาภูพานซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่ไหลลงไปหล่อเลี้ยงผู้คนหลายสาย ป่าภูพานเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีความสำคัญต่อพี่น้องชาวอีสาน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ,อุดรธานี ,กาฬสินธุ์ ,มุกดาหารและนครพนม ที่มีลำห้วยสายสำคัญคือ 1.ลำน้ำพุง 2.ลำน้ำอูน 3.ลำน้ำสงคราม 4.ลำน้ำปาว 5.ลำห้วยบางทราย มี 5 จังหวัด สกลนคร,กาฬสินธุ์,อุดรธานี,มุกดาหาร,นครพนม
โครงการและกิจกรรม
องค์ความรู้เครือข่ายที่ถ่ายทอดได้
ภารกิจอินแปง
ในปี 2535 เครือข่ายอินแปงได้ตระหนักถึงเรื่องนี้หลังจากได้ดำเนินงานที่บ้านบัวมา 5 ปี เห็นว่าถ้าปล่อยให้ปัญหาต่าง ๆ รุนแรงจะทำให้ชุมชนลำบากมากยิ่งขึ้นจึงได้ปรึกษากันเพื่อขยายเครือข่ายในเมื่อเราทำประสบความสำเร็จก็อยากจะบอกพี่น้องต่อไป ใครมีพี่น้องอยู่ที่ไหนมีคนรู้ เป็นเสี่ยวอยู่บ้านไหนกไปชวนกันมาทำการเกษตรแบบนี้ขยายไปตามบ้านใกล้ก่อนแล้วก็ขยายกว้างขึ้นกว้างขึ้น และต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2538 – 2539 ก็มีหน่วยงานของรัฐให้ความสนใจและเห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินงานก็เลยสนับสนุนเงินทุนเครื่องใช้เครื่องมือมากขึ้น ตามลำดับ จนกลายมาเป็นเครือข่ายคนรอบป่าภูพาน 4 จังหวัด คือ จังหวัดสกลนคร, อุดรธานี, กาฬสินธุ์ และจังหวัดมุกดาหาร จำนวน 88 องค์กร 74 ตำบล 795 หมู่บ้านในปัจจุบัน เป็นการร้อยคนรวมใจคนภูพานเข้ามาเป็นพี่น้องกันที่จะสร้างแนวคิดการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อการพึ่งตนเองบนฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยจุดเริ่มต้นคือการนำพันธุ์ไม้พื้นบ้านมาปลูกไว้ในสวน มีตัวอย่างสำคัญ เช่น สวนพ่อเขียน ศรีมุกดา (ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว) มีที่ดิน 6 ไร่ ปลูกพืชทั้งหมด 175 ชนิด ผมปลูกแบบเอาตัวอย่างมาปลูกสังเกตต้นไม้ต่าง ๆ ว่าต้นอะไรไหนเกิดอย่างไรชอบอยู่กับต้นอะไรก็เอามาปลูกเช่นนั้น พ่อเขียน กล่าวไว้เมื่อคนมาดูงานซักถามการทำเกษตรสวนพ่อเขียน นี่เป็นที่มาของต้นแบบแนวคิดหลักของเครือข่ายอินแปง 4 ประการ คือ
ภาระกิจทั้ง 4 ประการนี้ ก่อให้เกิดการสร้างแหล่งอาหาร การเห็นคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า, การทดแทนการนำเข้า การเป็นเจ้าของกิจการของชุมชน การมีงานทำและรายได้ การสร้างระบบทุนชุมชนมีระบบสวัสดิการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การมีความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในภูมิปัญญาไท การมีพี่น้องสานสายสัมพันธ์ตลอดจนมีการสืบทอดแนวคิดและอุดมการณ์สู่คนรุ่นใหม่ก่อให้เกิดการพึ่งตนเองในที่สุด
หลักการบริหารเครือข่ายอินแปง
หลักการบริหารเครือข่ายอินแปง
สาเหตุในการบริหารในระดับตำบล
การสร้างความเข้มแข็งในชุมชนของเครือข่าย
หน้าที่ของศูนย์อินแปง
ศูนย์อินแปง : โทร 042715257
บ้านบัว ต.กุดบาก อ.กุดบาก จังหวัดสกลนคร 47180
โทรศัพท์ : 089 841 1721
ป้ายคำ : ศูนย์เรียนรู้
เห็น รูปแล้วอยากไปเรียนรู้ เรื่อง พันธุ์ ไม้ ต่างๆครับ