ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนอีโต้น้อย เป็นศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการทำเกษตรกรรมยั่งยืน นำโดยปราชญ์ชาวบ้าน พ่อผาย สร้อยสระกลาง
แปลงเกษตรประณีตของ พ่อผาย สร้อยสระกลาง ปราชญ์เกษตรกรของแผ่นดินหรือครูภูมิปัญญาเกษตรธรรมชาติ ที่เป็นการเกษตรแบบผสมผสานตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำเกษตรเชิงเดี่ยวตามกระแสทุนนิยม แต่มองจากความเป็นอยู่การพึ่งพาตนเองได้ ทำนาปลูกข้าว เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา พร้อมปลูกพืชผักสมุนไพร ทำให้ลดรายจ่าย มีรายได้จุนเจือครอบครัวมากขึ้น หนี้สินที่เคยมีก็เริ่มน้อยลงและปลอดหนี้ในที่สุด
พื้นที่เริ่มจาก 20 ไร่ ปัจจุบันมี 155 ไร่ ที่นากว่า 50 ไร่ ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว เป็นข้าวอินทรีย์ทั้งหมด เคยทำนาแบบเคมี 2 ปี ขาดทุนก็ปรับเปลี่ยนการผลิต ไม่ใช้สารเคมี ต้นทุนการผลิตก็ลดลง เราเองสุขภาพก็ดี ที่เหลือเป็นสวนป่า ปลูกไม้ไผ่ ไม้เศรษฐกิจไว้สร้างบ้าน รวมถึงไม้อาหาร ในแปลงไม้ยางนาที่ปลูกระยะไม่ห่างกัน เพราะเศษใบไม้ที่ร่วงใต้ต้นเป็นแหล่งเพาะเห็ดที่ดี มีเห็ดปลวก เห็ดตะไคร้ เห็ดระโงก ขึ้นตามธรรมชาติ บางครั้งก็ไปเก็บเห็ดกลางโคกเน่าๆ เอามาใส่ในสวน ผลผลิตทั้งหมดกินในครัวเรือน ถ้าเหลือเยอะก็ขาย รูรั่วคือรายจ่าย เราปิดรูรั่วได้ พ่อผายวัย 85 ปี อธิบายการทำเกษตรผสมผสานด้วยการพาเรียนรู้แปลงขนาดใหญ่ ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกลุ่มอีโต้น้อยในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ในโอกาสงาน ปราชญ์อีสาน สร้างความยั่งยืน บนผืนดินเค็ม
การไปเยือนสวนเกษตรของพ่อผาย สร้อยสระกลางครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเอสซีจีและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เชิญกลุ่มปราชญ์อีสาน เครือข่ายภาคเกษตร มาถอดบทเรียนและร่วมสัมผัสแง่มุมของการฟื้นฟูดินเค็มได้สำเร็จที่บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2557 ณ ศูนย์เรียนรู้กลุ่มอีโต้น้อย เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบ พ่อผายทำให้ดินหายเค็มโดยหาวัตถุอย่างฟาง มูลสัตว์ ปูนขาว มาใส่ในที่ จากนั้นก็ไถกลบ ช่วยปรับปรุงดินและลดความเค็ม
เกษตรกรอีสานต้องปรับตัว ในมุมมองของปราชญ์แผ่นดิน การทำพืชเชิงเดี่ยวมาจากมีกิเลส อยากรวยทั้งที่ควรทำจากเล็กไปหาใหญ่เหมือนขั้นบันได ทำอย่างมีสติจะเกิดปัญญา ต้องมองตัวเองและวางแผน ไม่ใช่รอวันข้าวโต เพราะพื้นที่แบ่งจากการเกษตร สามารถทำปศุสัตว์ เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา กินในครอบครัวได้อย่างสบายๆ จะขายก็ยังได้ แล้วยังมีพื้นที่ 50 ไร่ ปลูกไม้เต็ง ไม้รัง ไม้พะยูง ไม้ยืนต้นเหล่านี้ส่งผลให้พื้นที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์น้อยใหญ่ได้พึ่งพาอาศัย ในอนาคตตัดขายได้เป็นเงินกองทุนให้ลูกหลาน การทำเกษตรตามรอยเท้าพ่อแห่งแผ่นดิน เห็นผลจริงๆ จึงคอยแนะกับชุมชนอยากให้ กินอิ่ม นอนอุ่น อยู่ดี หนี้หมด เหมือนเรา
เคยทำข้าวโพด 50 ไร่ เป็นหนี้ 40,000 บาท ขาดทุน เพราะพื้นที่ปลูกไม่มาก สู้นายทุนใหญ่ไม่ได้ ผลผลิตก็กำหนดราคาไม่ได้ ไม่เอาแล้ว มาทำแปลงเกษตรแบบเราดีกว่า ทำอยู่ ทำกิน ไม่ได้หาอยู่ หากิน คนที่มาศูนย์เรียนรู้มีทั้งเป็นเกษตรกร ชาวนา คนเมือง หรือคนทำเกษตรไม่เป็น ก็ชวนคนมาลองเลี้ยงปลาพร้อมปลูกข้าว เมนูที่กินในแต่ละวันก็มาจากข้าวที่ปลูก ผักหรือเห็ดก็มาทำน้ำพริก แค่คนที่แวะเวียนมาศึกษาดูงาน ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาก็แทบไม่พอแล้ว พ่อผายกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุข
ปราชญ์อีสานย้ำว่า แม้ไม่ได้ที่ดินซักผืน แต่บิดาให้ร่างกายมาเป็นทุน และให้อีโต้ด้ามเดียวไว้ฟันฝ่าปัญหา ฉะนั้น ต้องรู้จักใช้ทรัพยากรบนผืนดิน แก้จนด้วยเกษตรประณีต ไม่มีหนี้ แถมธนาคารยังติดหนี้ตนเอง เพราะมีเงินฝากประจำต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เราทุกเดือน ทุกวันนี้ก็ถ่ายทอดความรู้เรื่องเกษตร สูตรแก้จนแก้ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นให้เกษตรหรือชาวนาวงการใหญ่ให้พัฒนา พื้นที่ตามแนวทฤษฎีใหม่
ร่างกายคือมรดก มรดกที่พ่อแม่ให้มามือสองข้าง ข้างหนึ่ง ห้าแสน อีกข้างห้าแสน
ร่วมกันเป็นล้าน ต้องทำตัวเองให้มีค่า อย่าอยู่เฉย
ศีล ก็คือ ให้มีสติ ปัญญา ทำอะไรก็ให้ใช้สติปัญญา ในการแก้ปัญหา
ฉายาปราชญ์ชาวบ้านนักจัดการ
พ่อผาย ได้ใช้หลักการจัดการทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดความเป็นไปได้ และอาศัยการจัดการรวมกับความรู้เดิมที่มีอยู่สร้างให้เกิดความรู้ใหม่ ทำให้เกิดความรู้ กิจกรรม และขยายผลออกมาอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการปั้นโอ่งปูนซีเมนต์ การสร้างโรงเรียน การส่งเสริมแม่บ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ส่งเสริมการขุดสระทำการเกษตรผสมผสาน ส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครอง การตั้งธนาคารหมู่บ้าน ทำงานวิจัยพื้นฐานของชุมชนเรื่องดิน น้ำ พืช สัตว์ รวมทั้งการขยายเครือข่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มอุ้มชูไทยอีสาน ชมรมพัฒนาชาวบุรีรัมย์ กองทุนซิฟ โรงเรียนชุมชนอีสาน เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน โดยมีตำแหน่งทั้งกรรมการ ประธาน มากมายหลายชุด เครือข่ายจึงเรียนท่านว่า ปราชญ์ชาวบ้านนักจัดการ
โรงเรียนชุมชนอีสาน
สิ่งดีๆ ที่เกิดกับพ่อผาย และเครือข่ายในการใช้หลักธรรมะของการพึ่งตนเอง และพึ่งพากันเอง ผนวกกับหัวใจของความเป็นครู ทำให้พ่อผายร่วมมือกับครูบาคำเดื่อง และครูบาสุทธินันท์ ตั้งโรงเรียนชุมชนอีสานขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้การสนับสนุนของศาสตราจารย์เสนห์ จามริก จากสถาบันชุมท้องถิ่นพัฒนาอีสาน เพื่อการขยายความคิดและรูปธรรมออกไปอย่างเป็นระเบียบ เป็นการเปิดโอกาสให้เครือข่ายโดยรอบมาเรียนรู้จากครูบาทั้งสามท่าน พาคิดพาทำจนรู้เข้าใจ และแตกฉาน สามารถนำชีวิตออกจากวิกฤตได้ในทุกด้านอย่างรวดเร็ว จากโรงเรียนชุมชนอีสานสู่ วปอ. ภาคประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายพึ่งตนเอง และพึ่งพากันเอง 1 ล้านครอบครัว เจริญตามรอยพระยุคลบาท เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ตุลาคม 2541 ปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานได้มาประชุมสัญจรกันต่อเนื่องทุกเดือนไปตามศูนย์เรียนรู้ของปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสาน ทำให้เห็นภารกิจร่วมกันว่า ต้องขยายเครือข่ายออกไปอย่าง กว้างขวางเพื่อแก้วิกฤตของชาติให้ได้ จึงได้วางหลักสูตรของวิทยากรกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง หรือเรียกย่อๆว่า วปอ. ภาคประชาชน โดยอาศัยผู้นำชุมชนและนักพัฒนาที่สนใจมาเข้าหลักสูตร ฝึกวิธีคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้จักตนเอง ผู้อื่น รู้จักการพึ่ง ตนเองและพึ่งพากันเอง พร้อมไปศึกษาดูงานตามสถานีของปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อกลับมาขยายเครือข่ายอย่างกว้างขวางเป้าหมาย 1 ล้านครอบครัวใน 18 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยเด็กรักถิ่น 1 ล้านคน เพื่อสืบทอดพลังของแผ่นดินดังกล่าว และแน่นอน สิ่งเหล่านี้คือความใฝ่ฝันอันสูงสุด และเป็นความภูมิใจสูงสุดในความเป็นคนดีศรีสังคมของแผ่นดินไทย
ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนอีโต้น้อย
ตั้งอยู่เลขที่ 158 หมู่ที่ 4 ตำบลโคกล่าม อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
โทร 08-01495708 Email: eto-noy@hotmail.com
ป้ายคำ : ศูนย์เรียนรู้