หลักกสิกรรมธรรมชาติ เลี้ยงดิน ให้ดิน เลี้ยงพืช (feed the soil and let the soil feed the plant) ในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา การเพิ่มผลผลิตและรายได้ของประเทศมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกมากกว่าการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ จนถึงขณะนี้ประมาณได้ว่าพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมได้ใช้ไปจนเกือบหมด และพยายามหาพื้นที่ชดเชยด้วยการอพยพโยกย้ายเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น เพราะการใช้ที่ดินกันอย่างขาดความระมัดระวัง และไม่มีการบำรุงรักษา ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมโทรม มนุษย์เราจะใช้ที่ดินเพื่อสนองความต้องการของตนตลอดเวลา และนับวันจะถูกใช้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้สภาพความสมดุลของดินในหลายพื้นที่ของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้ที่ดินผิดประเภท การทำลายผิวดินในรูปแบบต่างๆ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การใช้ปุ๋ยเคมี ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ในระบบนิเวศ ด้วยการทำการเกษตรของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน มีการ ปอกเปลือกเปลือยดิน การเผา การใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม จึงเป็นวิธีการที่ผิดธรรมชาติและทำลายธรรมชาติซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหา
การเกษตรที่ไม่ทำลายธรรมชาติไม่ปอกเปลือกเปลือยดิน ไม่เผา ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นแนวทางของหลักกสิกรรมธรรมชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงบำรุงดินเป็นอันดับแรก และถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะถือว่าดินเป็นต้นกำเนิดของชีวิต สังคมไทยในอดีตให้ความสำคัญของดินด้วยความเคารพบูชาดินเสมือน แม่ เรียก พระแม่ธรณี การให้ความรักและเอาใจใส่พระแม่ธรณี โดยการ ห่มดิน หรือการคลุมดินไม่เปลือยดิน โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือเศษพืชผลทางการเกษตรที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และการปรุงอาหารเลี้ยงดินโดยการใส่สารอินทรีย์ชีวภาพลงไปเพื่อให้เป็นอาหารของดิน แล้วดินจะปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ เรียกหลักการนี้ว่า
เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช (feed the soil and let the soil feed the plant)
การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้ดินกลับมามีชีวิตพืชที่ปลูกก็จะเจริญเติบโตแข็งแรงให้ผลผลิตดี ต้นทุนในการผลิตลดลง รวมถึงการที่ผู้ผลิตและผู้บริโภค มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี จึงมีการให้นิยามของการปฏิบัติเช่นนี้ว่า คืนชีวิตให้แผ่นดิน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ของ ลูก (มนุษย์) ที่มีต่อ แม่(ธรณี)
กสิกรรมธรรมชาติตามศาสตร์พระราชา”ทฤษฎีใหม่ New Theory เป็นภาคปฏิบัติของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันเป็น สหวิชาการต่างๆ ดังนี้
ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวคิดของการผสมผสานการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ควบคู่ไปกับความต้องการด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะสามารถช่วยให้เกิดการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศได้อย่างแยบคาย จากการส่งเสริมให้ชาวบ้านได้ตระหนักและเห็นคุณค่าจากการได้ใช้ประโยชน์จากป่าไม้ที่ปลูก สามารถแจกแจงตามการใช้ประโยชน์ให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้
ประโยชน์เพื่อให้พออยู่คือการปลูกต้นไม้ที่ใช้เนื้อไม้และไม้เชิงเศรษฐกิจให้เป็นป่า ไม้กลุ่มนี้เป็นไม้อายุยาวนานซึ่งจะเน้นประโยชน์ในเนื้อไม้เพื่อสร้างบ้าน ทำเครื่องเรือน และถือได้ว่าเป็นการออมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตต้นไม้กลุ่มนี้เช่น ตะเคียนทองยางนา แดง สัก พะยูง พยอม เป็นต้น
วิธีการคือ ปลูกต้นไม้ให้เป็นป่า โดยปลูกต้นไม้หลายระดับ ได้แก่ ไม้ระดับสูง เช่น ยางนา ไม้ระดับกลาง เช่น ตะเคียน สัก ประดู่ ไม้กินผล มะม่วง ชมพู่ มะเม่า มะกรูด ไม้ระดับต่ำ ได้แก่สมุนไพรต่างๆ ผักหวานบ้าน ผักเด็ดใบยืนต้น ไม้ระดับเตี้ย เรี่ยดิน ได้แก่ พริก ตะไคร้ ย่านาง เบญจรงค์ และไม้ระดับใต้ดิน เช่น ขิง ข่า เผือก มัน กลอย
ป้ายคำ : ศูนย์เรียนรู้