การจัดสร้างสระเก็บน้ำเพื่อการเกษตรตามทฤษฎีใหม่

24 กรกฏาคม 2555 น้ำ, ศาสตร์พระราชา 0

สาเหตุและปัญหาของการแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการเกษตรตามทฤษฎีใหม่
สาเหตุและปัญหาการขาดแคลนน้ำทางการเกษตรนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าฯ ได้ทรงพบปัญหาที่เกิดขึ้น 2 ประการ
1. ลักษณะนิสัยของคนไทยในการใช้น้ำ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมีพระราชดำริ ว่า
..ธรรมชาตินั้นได้ปรับตัวสร้างความสมดุลระหว่างธรรมชาติและวิถีชีวิตของมนุษย์อยู่แล้วจะเห็นได้ว่าสภาพภูมิประเทศได้ปรับตัวเองให้เป็นลักษณะ หนอง คลอง บึง เพื่อเก็บกักน้ำยามน้ำหลากในหน้าฝน ซึ่งทำให้มีน้ำใช้ในยามแล้ง แต่มนุษย์กลับละเลย ไม่ดูแลสมบัติธรรมชาติอันล้ำค่านี้ และนอกจากไม่ดูแลแล้วมนุษย์ยังมีความโลภ ที่ทำลายโครงสร้างธรรมชาตินี้ด้วย หนอง คลอง บึง จึงอยู่ในสภาพตื้นเขินจนใช้การไม่ได้ หลายส่วนถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม และสุดท้ายความทุกข์ยากก็เกิดขึ้น ยามน้ำหลากน้ำก็ไหลบ่า เพราะไม่มีหนอง คลอง บึง คอยรองรับเพื่อผ่อนคลายความรุนแรงและพอพ้นหน้าแล้งก็เกิดภาวะแห้งแล้ง ไม่มีปริมาณน้ำเก็บกักไว้ใช้

2. ในพื้นที่การเกษตร ชาวบ้านได้รับความทุกข์ยากเนื่องจากไม่มีน้ำใช้ ต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว เช่น ที่เขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ประสบพบว่าชาวบ้านต้องเอาของแหลม ๆ ทิ่มลงในดินอันแห้งแกร่งเพื่อหยอดเมล็ดข้าว ซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างยากเย็นและแสนเข็ญ เพราะต้องอาศัยน้ำค้างอันน้อยนิดมาหล่อชีวิต ผลผลิตได้เมล็ดข้าวลักษณะลีบและเพียง 2 – 3 ถังต่อไร่ เพียงพอที่จะใช้ยาไส้เลี้ยงชีวิตชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงเริ่มประเดิมกิจกรรมมูลนิธิชัยพัฒนาและพระราชดำริ การพัฒนาแบบใหม่ โดยได้มีพระราชกระแสให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดซื้อที่ดินของวัดมงคล ตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี จำนวน 16 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวาบริเวณริมถนนพหลโยธิน กม. 116-117 เพื่อจัดตั้งศูนย์บริการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เป็นต้นแบบเพื่อสาธิตการพัฒนาด้านการเกษตรและเพื่อประสานความร่วมมือระหว่าง วัด ราษฎร รัฐ เผยแพร่อาชีพและจริยธรรมแก่ประชาชนและหากประสบความสำเร็จก็จะใช้เป็นแนวทางในที่อื่นต่อไป

ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำสำหรับเกษตรกรหรือชาวนาคือ ฝนแล้ง ความยากจน การเป็นหนี้สิน ทำอย่างไรจึงจะให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้ด้วยวิธีง่าย ค่อยเป็นค่อยไป พอมีพอกิน ไม่อดอยาก
หลักการที่ใช้จัดหาน้ำเพื่อการเกษตรตามทฤษฎีใหม่
การจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรตามทฤษฎีใหม่นั้นมีหลักการดังนี้

  • เกษตรกรมีพื้นที่เพื่อการเกษตรอย่างน้อยประมาณ 15 ไร่
  • อยู่ในพื้นที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำฝน ฝนตกไม่ชุก
  • ที่ดินมีสภาพที่สามารถขุดบ่อเก็บกักน้ำได้
  • ฐานะของเกษตรกรยากจน มีสมาชิกครอบครัวประมาณ 56 คน

ที่ดิน 15 ไร่จะจัดแบ่งเป็นพื้นที่ใช้สอยต่าง ๆ ดังนี้

ส่วนที่ 1 พื้นที่ 5 ไร่ (30%) ใช้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัวเพื่อให้เพียงพอบริโภคตลอดปี ในฤดูแล้งจะปลูกพืชราคาดีเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่ายเช่น การปลูกพืชตระกูลถั่ว ปลูกหอมแดงและกระเทียม ปลูกข้าวโพด

ส่วนที่ 2 พื้นที่ 5 ไร่ (30%) ใช้ปลูกพืชยืนต้นหรือไม้ผล พืชไร่และพืชสมุนไพร (ภาพประกอบ 2.3) ตัวอย่างพืชประเภทต่างๆ ดังนี้

  • ไม้ผล ได้แก่ มะขามหวาน มะม่วง ขนุน ทุเรียน มะพร้าวน้ำหอม ละมุด ส้ม ส้มโอ น้อยหน่า กระท้อน
  • ไม้ยืนต้น (ใช้สอยและเชื้อเพลิง) ได้แก่ ไผ่ มะพร้าว ตาล มะขามเทศ ทองหลาง จามจุรี ประดู่ ขี้เหล็ก ชิงชัน ฯลฯ
  • พืชสวน (ผักยืนต้น) ได้แก่ แคบ้าน มะรุม สะเดา สะตอ เหลียง เนียง ชะอม ผักหวาน ขจร ขี้เหล็ก กระถิน
  • พืชสวน (ผักล้มลุก) เช่น พริก กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ขิง ข่า แมงลัก สะระแหน่ มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ ฯลฯ
  • พืชสวน (ดอกไม้) เช่น มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก ซ่อนกลิ่น ฯลฯ
  • สมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น หมาก พลู พริกไทย บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝกและพืชผัก

ส่วนที่ 3 พื้นที่ 5 ไร่ (30%) ใช้ขุดสระเก็บน้ำเพื่อเก็บน้ำฝนในฤดูฝน มาใช้ปลูกพืชในฤดูแล้ง และใช้ในการเลี้ยงสัตว์ น้ำอุปโภคและบริโภค ถ้ามีน้ำพอดีในปีไหนก็สามารถที่จะประกอบการเกษตรหรือปลูกข้าวนาปีได้ ถ้าต่อไปในฤดูแล้งน้ำมีน้อยก็สามารถที่จะใช้น้ำที่กักไว้ในสระเก็บกักน้ำของแต่ละแปลงมาทำการเพาะปลูก แม้แต่ข้าวก็ยังปลูกได้ ไม่ต้องไปเบียดเบียนชลประทานระบบใหญ่ เพราะมีน้ำใช้ของตัวเกษตรกรเอง และสามารถปลูกผักหรือเลี้ยงปลาหรือทำอะไรอื่น ๆ ก็ได้ หลักการที่ใช้ในการพิจารณาขุดสระเก็บกักน้ำมีดังนี้

  1. 1. การเลือกพื้นที่สำหรับขุดสระน้ำ มีความสำคัญมาก เพราะการขุดสระน้ำให้เก็บกักน้ำได้โดยมีการสูญเสียรั่วซึมน้อยและมีน้ำที่มีคุณลักษณะเหมาะต่อการอุปโภค บริโภค และการชลประทานได้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ลักษณะของพื้นที่ ลักษณะของดิน และระดับน้ำใต้ดิน เป็นต้น
  2. 2. ตำแหน่งของสระน้ำ ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่สามารถนำน้ำไปใช้ในแปลงอื่น ๆ ได้โดยสะดวกและสิ้นเปลืองน้อย ความรู้และความชำนาญของผู้ที่จะพิจารณาตัดสินใจว่าที่ใดจะขุดบ่อหรือสระเก็บกักน้ำได้หรือไม่ และถ้าขุดได้ควรจะวางตำแหน่งของสระน้ำที่ใด ตรงส่วนนี้มีความสำคัญมาก อาจต้องอาศัยความรู้ความชำนาญจากนักวิชาการของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ถ้าขุดสระเก็บกักน้ำแล้วเก็บน้ำไว้ใช้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นทฤษฎีใหม่ แต่จะเป็นเกษตรกรใช้น้ำฝนตามปกติหรือในกรณีที่เกษตรกรบางรายที่มีสระน้ำขนาดเล็กอยู่แล้ว แต่ดำเนินกิจกรรมปลูกข้าว หรือพืชสวนหรือพืชไร่เพียงอย่างเดียว ก็เป็นเกษตรกรอย่างธรรมดา แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปปลูกข้าว พืชสวนพืชไร่ ในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือ 30 : 30 : 30 : 10 ก็จัดเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่
  3. ลักษณะของดินที่มีศักยภาพเหมาะสมสำหรับขุดสระน้ำ ดินที่สามารถกักเก็บน้ำได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของเกษตรทฤษฎีใหม่นั้น กรมพัฒนาที่ดินได้มีแนวทางพิจารณาสภาพดินที่เหมาะสมในการขุดสระเก็บน้ำ มี 2 ขั้นตอนดังนี้
    • การใช้ข้อมูลดินเบื้องต้น กรมพัฒนาที่ดินได้วินิจฉัยคุณภาพของดินแต่ละชุดแต่ละกลุ่มในระดับความลึก 1 เมตร และปริมาณของก้อนหินที่จะมีผลต่อความยากง่ายในการขุด
    • การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสำรวจพื้นที่จริง การสำรวจในพื้นที่จะต้องสามารถวินิจฉัยได้ว่าดินชนิดใดที่เหมาะสม และดินชนิดใดที่ไม่เหมาะสม
  4. ขนาดของสระเก็บกักน้ำ จากสัดส่วนที่แบ่งเป็นทำนาข้าว 5 ไร่ ต้องมีน้ำระหว่างช่วงฤดูแล้ง1000 ม3 ต่อไร่ รวมเป็น 5000 ม3 พืชไร่หรือไม้ผล 5 ไร่ ต้องมีน้ำระหว่างช่วงฤดูแล้ง 1000 ม3 ต่อไร่รวม 5000 ม3 ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นต้องมีน้ำไว้ใช้สำรองหน้าแล้งโดยเฉลี่ยประมาณ 10,000 ม3 และอัตราการระเหยของน้ำในอ่างเก็บน้ำหรือสระน้ำจะมีการระเหยวันละ 1 ซม. ถ้าฝนไม่ตก 300 วันระดับน้ำในสระจะลดลง 300 ซม. หรือ 3 เมตร ถ้าขุดสระเก็บกักน้ำลึก 4 เมตรบนเนื้อที่ 3 ไร่ จะมีน้ำจุได้ 19,000 ม3 เมื่อนำปริมาณที่น้ำระเหยไป 3 เมตร หรือ ของ 19,000 ม3 คิดเป็น 3 x 4,750 ม3 จึงมีน้ำเหลือในสระเพียง 4,750 ม3 จึงต้องมีการเติมน้ำให้เพียงพออีก 5,250 ม3 ดังนั้นในพื้นที่ 3 ไร่ถ้าขุดลึก 5 เมตร ก็จะได้ปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเกษตร หรือรับน้ำเพิ่มจากแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
    • สัตว์น้ำ ควรเลี้ยงปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลาจีน โดยเลี้ยงในสระน้ำหรือคูน้ำที่ขุดขึ้น
    • สัตว์บก ควรเลี้ยงวัวพื้นเมืองหรือวัวเนื้อ 1-2 ตัว เพื่อให้เล็มหญ้าธรรมชาติ และกินเศษเหลือของพืชที่ปลูก

 

ส่วนที่ 4 พื้นที่ 2 ไร่ (10%) ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถนน คันดินและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่น โรงเก็บวัสดุ โรงปุ๋ยหมัก โรงเห็ด ฯพณฯ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ได้เสนอแนวทางปฏิบัติด้านการแบ่งสัดส่วน ดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องเป็น 30:30:30:10 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ตายตัว สามารถยืดหยุ่นได้ตามสภาพของพื้นที่และขนาดของแรงงานในครัวเรือน

ป้ายคำ :

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด น้ำ

แสดงความคิดเห็น