สละพันธุ์อินโดฯ เป็นไม้ผลเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่ตลาดในประเทศไทยมีความต้องการในปัจจุบัน ขายได้ราคา และดูแลง่าย ปลูก 2 ปี ก็ให้ผลผลิต แตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่น อาทิ ลองกอง ทุเรียน หรือเงาะ ที่มักจะประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาถูก
สละอินโดฯ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบหมู่เกาะมลายูและหมู่เกาะชวา ที่ประเทศอินโดนีเซียมีการส่งเสริมให้ปลูกเชิงพาณิชย์เป็นสินค้าออกของประเทศ ประมาณปี พ.ศ. 2512 มีการนำเมล็ดพันธ์ุสละอินโดฯเข้ามายังประเทศไทยโดยคนไทย และปลูกในพื้นที่ภาคใต้ ต่อมาให้ผลผลิตดี และเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทย จึงมีการขยายพันธ์ุและปลูกกันอย่างกว้างขวางและเพิ่มพื้นที่ปลูกขึ้นมายังภาคใต้ตอนบน และภาคกลางของประเทศ และกำลังเข้าสู่พื้นที่ภาคอีสานโดยการปลูกแซมกับต้นยางพาราในสวนยางพารา ซึ่งสละชอบสภาพอากาศและความชุ่มชื้นเช่นนั้น
ต้นสละเป็นไม้ตระกูลปาล์ม โดยต้นกำเนิดมาจากประเทศอินโดนีเซีย มีลำต้นค่อนข้างเตี้ยมีหน่อแตกเป็นกอ ทางใบยาวประมาณ ๒ -๓ เมตร ลักษณะคล้ายๆกับหางมะพร้าว แต่มีหนามแข็งแหลมทั่วทั้งต้น เป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ต้องการน้ำตลอดปีไม่ชอบแสงแดดจัด สละเป็นพืชผสม มีต้นตัวผู้และตัวเมียแยกคนละต้นโดยโอกาสจะเป็นต้นผู้ ต้นเมีย อัตรา ๓๐/๗๐ ซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าต้นไหนเป็นตัวผู้หรือตัวเมียปัจจุบันสละเป็นไม้ผลที่ กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเกษตรกรต้องการหาพืชใหม่แทนไม้ผล เดิมที่ต้นทุนการผลิตสูง และมีปัญหาราคาตกต่ำต่อเนื่อง นอกจากนั้นสละอินโดยยังให้ผลผลิตเร็วสามารถสร้างรายได้แก่เจ้าของได้เป็น อย่างดี
สละอินโดฯเป็นพืชตระกูลเดียวกับระกำ มีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ปุนดุก บาหลี คอนเด็ต ปาดังซีเดมป้าน มานนจายา บาดูรา อัมบาวา และ บันจัรบือการา ส่วนพันธุ์สละที่นิยมปลูกในประเทศอินโดนีเซียคือ พันธุ์ปุนดุก และพันธุ์บาหลี เนื่องจากมีรสชาติหวาน กรอบ เนื้อหนา ส่วนอีก 6 พันธุ์ ที่เหลือจะไม่นิยมปลูกเพราะมีรสหวานปนเปรี้ยว ฝาด และ ขม.
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส มีผลงานด้านการศึกษาวิจัยเพื่อการขยายผลแก่ราษฎรในพื้นที่นำไปเพาะปลูกมากมายหลายเรื่องหนึ่งในนั้นก็คือการเพาะปลูกสละอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันมีราษฎรจำนวนไม่น้อยนำไปเพาะปลูกในพื้นที่ของตนเอง และให้ผลผลิตได้ดีเกิดรายได้เป็นกอบเป็นกำแก่ราษฎรอย่างต่อเนื่องตลอดมา
การส่งเสริมของที่นี่จะแนะนำให้เกษตรกรปลูกด้วยการขุดหลุมขนาดกว้าง 50 ซม. คูณ 50 ซม. รองก้นหลุมด้วยอีเอ็ม หลุมละประมาณครึ่งกิโลกรัม ทิ้งไว้ 7 วัน ก่อนที่จะนำต้นกล้าลงปลูก หลังปลูกแล้วรดน้ำวันละ 1 ครั้งใส่ปุ๋ยอินทรีย์เดือนละ 1 ครั้ง เมื่อมีอายุได้ 2 ปี สละก็จะเริ่มออกดอก
วิธีการปลูก
แต่การที่สละสายพันธุ์อินโดนีเซียจะออกผลได้ดีตามที่ต้องการนั้นเกษตรกรจะต้องช่วยผสมเกสร ระหว่างดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียด้วย ซึ่งแต่ละต้นจะให้ดอกที่ไม่เหมือนกัน โดยการนำเกสรตัวผู้เคาะใส่ในจาน แล้วใช้พู่กันป้ายไปยังเกสรตัวเมีย เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 สละก็จะเริ่มให้ผลผลิต ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือนต่อครั้ง หรือปีละ 4 ครั้ง ในพื้นที่ 3 ไร่ จะสามารถปลูกสละพันธุ์อินโดฯ ได้จำนวน 200 ต้น
การดูแลรักษา
เหมือนไม้ผลทั่วๆไป คือใส่ปุ๋ย พรวนดิน ตัดทาง แต่ที่มีปัญหาคือการผสมเกสร เพราะสละพวกนี้จะผสมยากต้อช่วยผสม ให้เอาดอกเกสรตัวผู้มาเคาะผสมดอกเกสรตัวเมียในระยะดอกบาน หลังจากติดผล ประมาณ 7-8 เดือนจึงเก็บผลผลิตได้
เนื่องจากสละอินโด เป็นพืชที่ให้ผลลผิตเร็ว พุ่มเล็กให้ผลผลิตเร็ว แค่ก็มีข้อจำกัดมากเช่นเดียวกัน ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากระยะเวลาในการบานของดอกตัวเมียสั้น ถ้าใม่หมั่นสังเกตุ ก็จะไม่ได้ผสม จะเสียโอกาสในการที่จะได้รับผลผลลิต ต้นตัวผู้และดอกเกสรตัวผู้ก็มีความสำคัญ การชวยผสมเกสร การตกแต่งทลาย ตลอดทั้งการป้องกันศัตรูพืชต่างๆ
ส่วนเทคนิคพิเศษเพื่อให้ได้ผลผลิตอย่างต่อเนื่องทั้งปี เกษตรกรส่วนใหญ่จะนิยมปลูกสละในพื้นที่อย่างต่อเนื่องแต่ไม่พร้อมกัน มีการเว้นระยะการนำลงปลูกในหลุมปลูกห่างกัน 1-2 เดือน ในปริมาณต้นและพื้นที่ที่ต้องการ เพราะเมื่อให้ผลผลิตก็จะทยอยออกอย่างต่อเนื่องทุกเดือน จะสามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างต่อเนื่องมีรายได้ทั้งปี ซึ่งเกษตรกรที่ภาคใต้ที่ปลูกสละอินโดฯ ด้วยวิธีดังกล่าวนี้จะมีรายได้จากการจำหน่ายผลสละเดือนละไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
สำหรับวิธีบำรุงเพื่อให้สละมีรสหวานฉ่ำแบบปลอดสารพิษ ให้ใช้เศษพืชผักผลไม้ไปกองไว้ที่โคนต้นเพื่อเป็นปุ๋ยบำรุงต้น และใช้น้ำหมักชีวภาพ ที่ประกอบด้วยฟักทอง กล้วยน้ำว้า และมะละกอผสมกับกากน้ำตาลเพื่อบำรุงดอก ซึ่งเมื่อเป็นผลออกมาจะให้รสหวานขึ้น
การดูแลในขณะที่ให้ผลผลิต ระวังแมลงวันทองที่จะมากัดกินผลอ่อน ทำได้ด้วยการฉีดสารอีเอ็มเพื่อไล่แมลง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ พรวนดิน ตัดทาง บำรุงรักษาแบบนี้จะได้ผลใหญ่ เปลือกบาง เนื้อหนา หอมหวาน เนื้อกรอบล่อน ผลผลิตต่อต้นต่อปี ประมาณ 10-15 กก.
เนื่องจากสละอินโดฯ เป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว พุ่มเล็ก แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดช่วงระยะเวลาในการบานของดอกตัวเมียซึ่งจะสั้น ถ้าไม่หมั่นสังเกตก็จะไม่ได้ผสม จะเสียโอกาสในการได้รับผลผลิต
การเก็บเกี่ยว
ควรตัดออกมาเป็นช่อ ผลที่สุกสามารถนำมาเก็บเกี่ยวได้นั้นจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดง หนามที่เปลือกแยกห่างจากกันมากขึ้นกว่าเดิม และปลายหนามจะงอไปทางต้นกับผล แต่ถ้าเก็บก่อนกำหนดสละจะมีรสเปรี้ยวและฝาด หรือมีรสขม
ป้ายคำ : ผลไม้