ปฐมบทสู่การพึ่งตนเองด้วยวิถีพอเพียง
สวนหม่อนไม้ เป็นเจตจำนงค์ที่มุ่งมั่นที่จะน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามเส้นทางแห่งธรรม(ชาติ)วิถี ด้วยหลักแห่งธรรมะแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ปรับใช้ตามความเข้าใจของปัญญาแห่งตน
ปฐมบท
ด้วยการเกิดเป็นหลานชาวนา เป็นลูกชาวไร่ (และยังเป็นเขยชาวสวน) ชีวิตที่ถูกกระแสแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพัดพา ตามกระบวนการศึกษาในกรอบจนผ่านมาถึงระดับปริญญา นำมาสู่เส้นทางแรงงานชั้นดีในเมือง ตอบสนองภาคธุรกิจทุนนิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา หวังเพื่อสร้างฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวให้มั่นคงแข็งแรง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในใจยังหาทางไขว่คว้าแนวทางแห่งตนเองเสมอ
เส้นทางชีวิตของว่าที่เกษตรกรอย่างผม ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเป็นเด็กบ้านนอก ที่มีปูย่าตายายเป็นชาวนาแห่งเมืองสุพรรณ พ่อแม่หันมาทำอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อยในต่างอำเภอ เพราะเหตุความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่ทางรัฐกำหนด ผมจึงเป็นลูกเกษตรกรเต็มขั้น ใช้ชีวิตในวัยเยาว์ด้วย การรับจ้างทำไร่อ้อย จากการทำด้วยสองมือกับจอบด้วยการ ขุด ถาก ถาง กลบ เรียนรู้ กินนอน อยู่ในดงอ้อย ความยากจนผลักดันให้ต้องมุ่งมั่นต่อสู้ชีวิต ด้วยการปลูกฝังของพ่อที่ว่า
” พ่อไม่มีเงินทองจะกองให้ จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ
หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ เพื่อยึดถือเอาไว้ใช้เลี้ยงกาย
พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย
ใช้วิชาช่วยตนไปจนตาย เจ้าสบายแม่กับพ่อก็ชื่นใจ”
ดังนั้นเส้นทางที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นคือการศึกษา
จากระดับประถมศึกษา สู่โรงเรียนมัธยมศึกษาด้วยนักเรียนทุน ทำงานช่วงวันหยุดเก็บเงินเป็นเวลากว่า 3 ปี เพื่อเป็นทุนสู่มหาวิทยาลัย และทำตามความมุ่งหวังจนสำเร็จได้เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย(ที่มีชื่อว่าศาสตร์ของชาวนาชาวไร่) อาจจะไม่ได้คณะและสายวิชาที่ตั้งใจสูงสุดแต่ด้วยกำลังและปัญญาที่มีก็ถือดีที่สุดแล้ว การพึ่งตนเองที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นศึกษาในระดับอุดมศึกษา การพึ่งตนเองยังเป็นอาวุธสำคัญที่มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เรียนไป หาทุนเรียนไป เลี้ยงตนเองด้วยการปลูกผัก พืชสวนครัว รอบหอพักในมหาวิทยาลัย และยังนำตัวเองสู่การเรียนรู้ชีวิตนอกมหาวิทยาลัยด้วยการทำงานค่ายอาสาพัฒนาชนบท เข้าสู่บทเรียนชีวิตอันเป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่แท้จริง
ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นช่วงแห่งการแสวงหาความหมายของชีวิต การได้ออกไปค้นหาความหมาย ด้วยการออกค่ายอาสาฯ อยู่กินนอนกับชาวบ้าน พ่อแม่เกษตกร นัยหนึ่งอาจเป็นการย้อนความรู้สึกช่วงวัยเยาว์ แต่การพบปัญหาต่างๆ ที่มีกับชาวบ้าน ด้วยเหตุแห่งความไม่เท่าเทียม ความไม่รู้ ความผิดพลาดของนโยบาย ทำให้รู้ถึงพลังแห่งความเป็นปัญญาชนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้เรียกร้อง ด้วยการชุมนุมอย่างอหิงสาต่อผู้มีอำนาจมามากมายหลายเวที จนกระทั่งถูกจับ(ชั่วคราว) จึงกลับมาทบทวนและพบว่าบนเส้นทางของผลประโยชน์และการต่อสู้กับกิเลสของคนไม่มีทางนำไปสู่ความเท่าเทียมและความผาสุขของประชาชน ไม่มีใครช่วยชาวบ้านได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น จึงหันเส้นทางการเรียนรู้สู่การพึ่งตนเอง เรียนรู้วิถีแห่งเกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรอินทรีย์ จากผู้รู้ ปราชญ์ในช่วงนั้น
หลังจากจบชั้นอุดมศึกษา ภาพแห่งความเป็นจริงก็ปรากฎ การต้องนำวิชาชีพที่ตนเองเรียนมาด้วยภาษีของประชาชนที่ช่วยอุดหนุนการศึกษา ก็ควรนำวิชาชีพมาประกอบอาชีพอันสุจริตและเป็นกำลังพัฒนาประเทศ แต่ด้วยวิชาที่จบเป็นศาสตร์แห่งเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วงนั้นมันจึงเหมาะกับการทำงานในแวดวงธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยปณิธานที่ตั้งใจไว้ว่าจะนำศาสตร์ที่เรียนมากลับมาตอบสนองคุณแห่งชาวไร่ชาวนาที่เลี้ยงดูประเทศมา ตามความเชื่อที่ว่า เทคโนโลยีเป็นอาวุธของทุนนิยม จึงพยายามนำความรู้มาประยุกต์และหาช่องทางช่วยผู้ถูกเอาเปรียบจากการใช้เทคโนโลยี และยังชีพด้วยวิชาชีพ กับชีวิตแบบพึ่งตนเองมาตลอดเวลา
คลื่นแห่งการพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำพาทุนนิยมเข้าสู่ยุคทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างเมามัน ในฐานะคนที่ทำงานในกระแสแห่งเทคโนโลยีที่ใกล้ชิดกับชีวิตผู้คนมากที่สุด ทำให้มองเห็นการมอมเมาประชนชนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งรวมกับพลังแห่งมายาภาพของทุนนิยมอย่างชัดเจน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งองค์ราชาแห่งแผ่นดินไทย ทรงชี้ทางรอดด้วยแนวทางแห่งการพึ่งตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ผมไม่รีรอที่จะนำมาใช้ทันที
ผมกลับมาเริ่มสั่งสมองค์ความรู้ ภูมิปัญญาของแผ่นดิน เรียนรู้และสะสม เตรียมนำมาประมวล เพื่อสู่การเผยแพร่ในรูปแบบที่สามารถทำได้ อันรวมไปถึงการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามกำลังความสามารถที่มี
ขณะนี้ผมเป็นว่าที่เกษตรกร ด้วยใจมุ่งมั่น แต่ติดที่ยังต้องทำภารกิจตามปณิธานของตนเองที่ต้องทำให้สำเร็จ จึงยังไม่สามารถเป็นเกษตรกรเต็มตัวได้ แต่ไม่นานนักหรอกที่ผมจะได้ชื่อว่าเป็นเกษตรกรอันเป็นความภูมิใจสูงสุดในชีวิตของตนเอง ผมเรียนรู้ศาสตร์แห่งการเป็นเกษตรกรที่ดีและทำสิ่งที่ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อนับถอยหลังสู่วิถีเกษตร
ว่าที่ฯ เกษตรกร เซมเบ้
ณ สวนหม่อนไม้
12 มกราคม 2556