มีผู้บันทึกว่า นายทอง อิ่มทั่ว ผู้ใหญ่บ้านเบญจพาส ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้หน่อสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียมาจากชาวปากีสถาน จึงนำมาทดลองปลูก ปรากฏว่าสับปะรดพันธุ์นี้มีผลใหญ่กว่าพันธุ์พื้นเมือง เนื้อสีเหลืองฉ่ำ รสหวาน ทำให้ชุมชนใกล้เคียงเริ่มปลูกตามจนแพร่หลาย กลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดในปัจจุบัน
สับปะรด เป็นพืชล้มลุก มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบทวีปอเมริกาใต้
ลาลูแบร์ ราชทูตจากฝรั่งเศส ที่เข้ามาอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อ พ.ศ.2230 เรียกสับปะรดในสยามครั้งนั้นว่า Ananas (มาจากภาษาโปรตุเกส) แต่ชาวสยามเรียก
“สับปะรด” (Saparot) เป็นหลักฐานถึงสับปะรดในเมืองไทยเก่าสุด ที่มาพร้อมกับการค้าและผู้คนนานาชาติในช่วงเวลานั้น
สับปะรดเป็นพืชที่ต้องการอากาศค่อนข้างร้อน มีฝนตกกระจายสม่ำเสมอตลอดปี และมีความชื้นในอากาศสูง ดังนั้นพื้นที่ปลูกสับปะรดส่วนใหญ่จึงอยู่ใกล้ทะเลหรือแม่น้ำ
สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น สับปะรดศรีราชา พันธุ์ตาดำ ตาแดง กัลกัตตาหรือสับปะรดปราณบุรี สับปะรดพันธุ์นี้มีใบเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนเป็นเงามัน ขอบใบเรียบกว่าทุกพันธุ์ อาจมีหนามที่ปลายใบ ช่อดอกมีดอกย่อยประมาณ 150 ดอก กลีบดอกสีม่วงอมน้ำเงิน ผลมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2-6 กิโลกรัม ก้านผลสั้น เปลือกผลเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม เหลืองอมเขียวหรือยังคงเขียวเข้ม ตาค่อนข้างตื้น แกนใหญ่ มีเนื้อละเอียด สีเหลืองรสหวานฉ่ำ ผลที่มีขนาดใหญ่จะเป็นรูปทรงโคนใหญ่ ปลายเรียว แต่ผลขนาดเล็กและขนาดกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นทรงกระบอก
พันธุ์กัลกัตตาหรือปัตตาเวีย (Smooth Cayenne) ใบสีเขียวจัดไม่มีหนาม หรือมีหนามเล็กน้อยที่ปลายใบ ผลใหญ่ น้ำหนักประมาณ 2-5 กก. เมื่อสุกสีของผลมีสีเหลืองอมแอง หรือมีสีเขียวคล้ำ ตาผลตื้น เนื้อสีเหลืองอ่อน หวานฉ่ำ มีน้ำมาก ไส้กลางไม่เหนียว เป็นที่นิยมปลูกสำหรับป้อนโรงงานสับปะรดกระป๋อง
อากาศ
สับปะรดชอบอากาศค่อนข้างร้อนและชุ่มชื้นสลับกันไปหรืออยู่ในระหว่าง 60-90 องศาฟาเรนไฮท์ มีฝนตกอยู่ระหว่าง 760-2,500 มิลลิเมตร หรือ 30-100 นิ้ว แต่ในระยะเวลาที่สับปะรดแก่ ถ้ามีฝนตกชุกในระยะนี้อาจทำให้ผลเน่าได้
ดิน
สับปะรดอาจปลูกได้ในที่ทุกแห่ง และไม่ต้องการดินดีนัก สับปะรดเจริญงอกงามดีในดินที่ค่อนข้างเป็นกรดระหว่าง pH 3.5-5.5 ดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทราย จะปลูกสับปะรดได้ดีกว่าดินเหนียว ทางระบายน้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการปลูกสับปะรด ถ้าดินเละปิดทางเดินของอากาศในดินหมดแล้ว การปลูกสับปะรดมักจะไม่ค่อยเป็นผลดี สำหรับประเทศไทย สับปะรดปลูกได้ในดินเกือบทุกแห่ง ในที่ราบภาคกลางซึ่งเป็นดินเหนียวก็สามารถปลูกได้ แต่ควรยกร่องเพื่อป้องกันน้ำท่วม การปลูกสับปะรดโดยทั่วๆ ไปแล้ว มักจะปลูกในที่ดินร่วนปนทราย เช่นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และลำปาง เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์
นิยมใช้หน่อหรือตะเกียงปลูก สำหรับจุกไม่ค่อยนิยมใช้กัน เพราะจะให้ผลช้ำ การปลูกโดยใช้หน่อหรือตะเกียงจะให้ผลในราว 16-18 เดือน แต่ถ้าใช้จุกปลูกกว่าจะให้ผลต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปีหรือกว่านั้น ในที่บางแห่งหน่อหรือตะเกียงจะใช้ปลูกมีน้อย และต้องการขยายพันธุ์ออกไปมากๆ
อาจใช้ลำต้นมาตัดเป็นท่อน ๆ ให้ท่อนหนึ่งๆ มี 2-3 ตา เอาไปปลูกก็ได้ มีวิธีดังนี้
วิธีขยายพันธุ์โดยลำต้น
การเลือกสับปะรดไว้ทำพันธุ์
สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย เป็นพันธุ์ที่มีการปลูกกันมากที่สุด โดยทั่วๆ ไปแล้วลักษณะที่ดีของสับปะรดพันธุ์นี้ จะต้องมีผลยาวเป็นรูปทรงกระบอก มีไหล่ของผลกว้าง ส่วนตาของผลจะต้องใหญ่และแบน ผลที่เกิดขึ้นจะต้องตัดยาวบนก้านผลที่สั้นๆ ต้นจะต้องเตี้ย เพราะถ้าสูงเกินไปมักจะทำให้ต้นล้มง่ายเมื่อติดผล ลักษณะโดยละเอียดของสับปะรดที่จะใช้ทำพันธุ์ปลูกมีดังนี้
ก. ลักษณะต้น
ข. ลักษณะของผล
วิธีการปลูก
นิยมทำกันอยู่ 2 วิธี คือ
สับปะรดควรจะปลูกใหม่ทุกๆ 3 ปี และไม่ควรจะปลูกซ้ำที่เดิม ควรจะปลูกสลับกับพืชชนิดอื่นบ้าง เช่นพืชตระกูลถั่วเป็นต้น การปลูกซ้ำที่เดิมอาจทำให้เกิดโรคระบาดในไร่สับปะรดได้ง่าย และการปลูกควรจะเริ่มปลูกตอนต้นฤดูฝน เพื่อจะได้รับความชุ่มชื้นเพียงพอ
การใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยสับปะรดนั้น ไม่อาจจะระบุให้แน่ชัดลงไปได้ว่า จะต้องใส่เท่าไรจึงจะเป็นการเหมาะสมและให้ผลดี เพราะสภาพของดินแต่ละแห่งแตกต่างกัน ธาตุในดินก็มีอาหารมากน้อยแตกต่างกันไป ดังนั้นจำนวนปุ๋ยที่จะใส่จึงแตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปการใส่ปุ๋ยอาจแบ่งออกไปได้ราว 2-3 ครั้ง นับแต่ปลูกจนเก็บผล โดยมากมักใช้เป็นปุ๋ยแต่งหน้า การใส่ปุ๋ยครั้งแรกควรใส่เมื่อสับปะรดอายุได้ 3 เดือน ต่อจากนั้นอีก 2-3 เดือนจึงควรใส่อีกครั้ง เว้นระยะเช่นนี้เรื่อยไป หรือจะใส่ปีละ 2 ครั้งก็ได้ ตามความต้องการ การใส่ปุ๋ยไม่ควรใส่เมื่อใกล้เวลาจะออกผล เพราะจะไม่เกิดผลอะไรมากนัก
ปุ๋ยที่สำคัญสำหรับสับปะรดคือ ธาตุไนโตรเจน และโปแตชเซี่ยม ปุ๋ยไนโตรเจนโดยมากมักใช้แอมโมเนียซัลเฟตมากกว่าจะใช้โซเดี่ยมไนเตรท เพราะโซเดี่ยมไนเตรทเมื่อละลายน้ำแล้วน้ำจะเหลือด่างทิ้งไว้ในดิน ซึ่งสับปะรดชอบดินค่อนข้างเป็นกรดดังได้กล่าวมาแล้ว ธาตุโปแตชเซี่ยม สับปะรดต้องการมาก ดังนั้นปุ๋ยสับปะรดที่ใช้กันทั่วไปมักจะมีไนโตรเจนและโปแตชเซี่ยมสูง การใช้ปุ๋ยส่วนมากใช้หยอดรอบๆ โคนต้น ใช้ปุ๋ยประมาณ 35 กก.ต่อสับปะรด 1,000 ต้นต่อครั้ง ซึ่งอาจจะใช้ปีละ 2 ครั้งก็พอ
ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ที่จำเป็นสำหรับสับปะรดก็มีเหล็ก ทองแดง สังกะสี โบรอน และแมงกานีส ซึ่งสับปะรดต้องการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็เป็นธาตุที่จำเป็นต่อการปลูกสับปะรด ซึ่งจะขาดไม่ได้
การบังคับให้สับปะรดออกผล
สับปะรดจะออกผลทยอยกันตลอดปี แต่ในปีหนึ่งๆ จะได้ผลมากอยู่สองครั้ง คือประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม และประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ในไร่หนึ่งๆ จะออกผลไม่ค่อยสม่ำเสมอ บางฤดูจะมีสับปะรดมากทำให้ราคาถูก การใช้สารเคมีบังคับให้สับปะรดออกก่อนกำหนดจึงเป็นวิธีที่ชาวไร่นิยมทำกันอยู่ในขณะนี้ โดยใช้แคลเซี่ยมคาร์ไบด์ หรือชาวไร่เรียกว่า ถ่านแก๊ส หยอดลงที่ยอดแบ่งวิธีการออกได้เป็น 3 แบบ คือ
โรคและแมลงศัตรูของสับปะรด
สับปะรดเป็นพืชที่ไม่ค่อยจะมีศัตรูและโรครบกวนเหมือนพืชอื่นๆ เท่าที่พบก็มีแต่โรคโคนเน่า อันเนื่องมาจากพื้นที่แฉะเกินไป บริเวณที่ปลูกไม่มีทางระบายน้ำออกได้ หรือในแหล่งที่ปลูกสับปะรดนานๆ ศัตรูอย่างอื่นก็มี นก หนู ในที่บางแห่งมีไส้เดือนฝอย (Nematode) เป็นศัตรูที่สำคัญจึงควรระวังไว้ด้วย
โรคที่พบเสมอคือโรคไส้เน่า (Heart Rot) เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง โรคนี้พบมากในระยะที่ฝนตกชุก และในไร่ที่มีน้ำขังแฉะ อาการเริ่มเป็นใบจะเหลือง ปลายใบไหม้เป็นสีน้ำตาล เมื่อถอนใบกลางๆ ขึ้นมา ใบจะหลุดติดมือออกมาโดยง่าย โคนใบที่ดึงขึ้นมาจะเป็นรอยสีน้ำตาลไหม้ และมีรอยช้ำ เมื่อเป็นมากๆ ทำให้ลำต้นมีแผล โคนเน่า ต้นเหี่ยวตาย การป้องกันกำจัดโรคนี้ควรจะถอนต้นที่เป็นโรคเผาไฟทำลายเสีย ควรทำทางระบายน้ำ อย่าให้มีน้ำขังแฉะในที่ๆ เคยเป็นโรคนี้มาแล้ว
แมลง แมลงศัตรูของสับปะรดที่สำคัญคือ เพลี้ยแป้ง ซึ่งทำให้เกิดอาการใบเหี่ยว แมลงชนิดนี้ส่วนมากจะพบเกาะอยู่ตามกาบทั้งบนและใต้ใบ จะเห็นคล้ายเป็นแป้งสีขาวๆ ติดอยู่ กินอาหารโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบสับปะรด และในขณะเดียวกันก็ถ่ายสารประกอบที่เป็นพิษชนิดหนึ่งเข้าไปในใบ ทำให้ใบสับปะรดเป็นจุดสีเขียวๆ เหลืองๆ และมีสีน้ำตาลปนแดง ถ้าเป็นมากๆ ทำให้ปลายใบไหม้ ใบเหี่ยวต้นแห้งตายไป บางทีอาจพบเพลี้ยชนิดนี้เกาะดูดกินอยู่ที่โคนต้นใต้ดินและที่รากทำให้ใบเหลืองหมดทั้งต้น ต้นไม่เจริญเติบโตและตายในที่สุด
การป้องกันกำจัดแมลงชนิดนี้ ควรใช้ยามาลาไธออน ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่ใช้กำจัดแมลงชนิดนี้ได้ผลดี ใช้ตามอัตราส่วนที่แจ้งไว้ในฉลาก การฉีดเว้นระยะประมาณ 10-15 วัน ต่อครั้ง สัก 2-3 ครั้ง จนกว่าแมลงจะเบาบางลง พันธุ์ที่จะนำมาปลูกใหม่ ก็ควรนำมาจุ่มในน้ำยานี้ เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้งที่อาจติดยา และป้องกันมิให้ไประบาดในไร่
การกำจัดวัชพืช
สับปะรดเป็นพืชที่มีรากตื้น วัชพืชจะแย่งน้ำและอาหารจากสับปะรด ทำให้ใบสับปะรดมีสีแดง ต้นแคระแกร็นไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ให้ผลเล็ก ในปีหนึ่งๆ ควรกำจัดวัชพืชประมาณ 5-10 ครั้ง สำหรับในฤดูฝนต้องทำบ่อยกว่าในฤดูแล้ง ส่วนมากชาวไร่ใช้จอบถาก ที่ใช้เครื่องมือตัดหญ้ามีน้อย เพราะการกำจัดวัชพืชวิธีนี้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแรงงานมาก ขณะถากหญ้าจอบอาจไปถากเอารากตามผิวดินขาดไปด้วยทำให้ต้นเฉา และดินอาจกระเด็นไปถูกเอายอดสับปะรด ทำให้ต้นเน่าตายได้
การกำจัดวัชพืชในไร่สับปะรด โดยใช้สารเคมีทดลองของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ผลพอสรุปได้ดังนี้
ใช้ยากำจัดวัชพืช ซิมาซีน (Simazine) แอตราซิน (Atrazine) โมนูรอน (Monuron) และไดยูรอน (Diuron) พ่นบนดินในอัตรา (ตัวยาสุทธิ) 0.36 กก. ต่อไร่ กำจัดวัชพืชได้ตลอด 2 เดือน ถ้าในอัตรา 0.72 กก.ต่อไร่ จะกำจัดได้นาน 3 เดือน ถ้าพ่นในฤดูแล้งจะให้ผลนานกว่านี้
ที่มา
– กรมส่งเสริมการเกษตร
ป้ายคำ : ผลไม้