สัปปะรดสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์เพชรบุรี นั้น มีไฮไลท์เด่นคือไม่ต้องปอกเปลือก สามารถแกะผลหรือที่เรียกว่าตากินได้เป็นชิ้น ๆ เหมือนน้อยหน่าหรือขนุน รสดชาดดีอย่างเหลือเชื่อ หวานหอมสีสวย มีปริมาณกรดต่ำ ทำให้ทานแล้วไม่กัดปากหรือกัดปากน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ กำลังเป็นที่สนใจนักชิมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก แต่ขณะนี้ผลผลิตยังมีไม่มาก จึงไม่สามารถหารับประทานได้ง่ายเหมือนผลไม้ชนิดอื่น และยังไม่มีวางขายทั่วไปบนห้ำงสรรพสินค้ำชั้นนำในกรุงเทพฯ อาจจะได้ชิมก้อต่อเมื่อมีการจัดงานพิเศษเกี่ยวกับพืชผลทางด้ำนเกษตรต่าง ๆ เท่านั้น
สัปปะรดพันธุ์เพชรบุรีมีต้นตระกูลอยู่ที่ใต้หวัน ภายใต้สายพันธุ์เดิมชื่อ “Tainan 41” ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรีได้นำจุกของมันมามาทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อให้เพิ่มปริมาณ ผลการวิจัยพบว่ามีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีกว่าสายพันธุ์เดิม ล่าสุดศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์สับปะรดพันธุ์นี้ หรือที่เรียกกันว่าสับปะรดไต้หวัน จนได้สับปะรดที่สามารถรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือนเช่นสับปะรดทั่วไป จากนั้นมีการเสนอคณะกรรมการวิจัยและพัฒนากรมวิชาการเกษตรพิจารณารับรองพันธุ์ และคณะกรรมการได้มีมติรับรองเป็นพันธุ์แนะนำในวันที่ 18 มีนาคม 2541 ระยะเวลาประมาณ 10 ปี ในการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์สับปะรดไต้หวัน จึงเป็นที่มาของ สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี ไปในที่สุด
กรมวิชาการเกษตรวิจัยสับปะรด “พันธุ์เพชรบุรี” หรือที่รู้จักกันว่า “สับปะรดไต้หวัน” มีลักษณะเด่น บริเวณปลายผลคอดเล็ก ตาค่อนข้ำงใหญ่และนูนเล็กน้อย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกกินได้ทันทีไม่ต้องปอก รสหวาน หอมแรง และเนื้อกรอบ กำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 ได้ให้มีการพัฒนาพันธุ์สับปะรดกว่า 10 ปี จนกระทั่งได้สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี หรือที่เรียกกันว่า สับปะรดไต้หวัน ที่กินได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งปอกเปลือกเหมือนเช่นสับปะรดทั่วไป ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากตลาดอย่างมาก
ลักษณะพิเศษของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรีดังกล่าวคือ สามารถแกะผลย่อย หรือตา (fruitlet) ออกจากกันได้ง่าย ทำให้สามารถแกะผลย่อยออกมากินได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก อีกทั้งแกนผลยังสามารถกินได้ รสหวานอมเปรี้ยว มีปริมาณกรดต่ำ กลิ่นหอมแรง เนื้อกรอบ สีเนื้อเหลืองอมส้มสม่ำเสมอ ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ภูเก็ต และสวี 17.7% และ 23.2% ตามลำดับ สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เป็นพันธุ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Queen เช่นเดียวกับพันธุ์ภูเก็ต สวีหรือตราดสีทอง มีทรงพุ่มปานกลาง ใบค่อนข้ำงสั้น หนามลักษณะเป็นตะขอม้วนขึ้นไปหาปลายใบ มีช่อดอกแบบรวม (Spike) ดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน กลีบดอกสีน้ำเงินปนม่วง
สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี มีลักษณะผลรวม ทรงเจดีย์ คือด้ำนล่างของผลใหญ่ บริเวณปลายจะคอดเล็ก ตาบริเวณปลายผลติดกับจุกไม่พัฒนา 2-3 รอบ ผลขนาดปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 1.00 กิโลกรัม ผลกว้ำงเฉลี่ย 11.9 เซนติเมตร ผลยาวเฉลี่ย 19.0 เซนติเมตร ตาค่อนข้ำงใหญ่และนูนเล็กน้อย โดยมีอายุการเก็บเกี่ยวราว 126 วัน มีสีเปลือกผลแก่สีเขียว ผลสุกสีเหลืองอมส้ม (Yog 17 A-B) สีเหลืองอมส้ม (Yog 16 A-B)
เริ่มแรกทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้ทำการแจกหน่อพันธุ์ให้กับเกษตรกรเพื่อนำไปปลูก แต่เกษตรไม่อยากที่จะต้องการหาตลาดขายสัปปะรดสายพันธุ์ใหม่นี้ เพราะเป็นสัปปะรดในกลุ่มทานสด เหล่าบรรดาเกษตรกรจึงไม่สนใจนัก เพราะไม่ต้องการหาตลาดใหม่ เนื่องจากเดิมทีเกษตรกรปลูกสัปปะรดสายพันธุ์ปัตตาเวีย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกส่งโรงงานอยู่แล้ว แต่ยังมีเกษตรกรบางรายที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสัปปะรดสายพันธุื์์ใหม่นี้ จึงมีการนำไปปลูกและขยานพันธุ์ต่อ แต่ก้อมีจำนวนน้อยมาก มีวางขายอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แหล่งปลูกที่มีมากและคุณภาพชั้นเยี่ยมอยู่ที่ อ.หัวหิน (ไร่ของคุณรุ่งเรือง) รายนี้มีรายนี้มีวางจำหน่ายบริเวณด้ำนข้ำงวังไกลกังวน (เสาร์-อาทิตย์) ราคาไม่แพง รสชาดดี ตรงตามลักษณะพันธุ์ สับปะรดพันธุ์เพชรบุรีมีอายุมานานนับ 10 ปี แต่เพิ่งมาดังมากเมื่อสื่อนำมาเสนอทางทีวีในช่วงที่หน่วยงานจัดงาน 36 ปีของกรมวิชาการเกษตร :เครดิตข้อมูลเพิ่มเติม คุณข้ำวเหนียวหมูปิ้ง:
หน้ำตาของสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี เหมือนสับปะรดทั่วไป ขนาดใหญ่สุดโดยประมาณอยู่ที่ 1 กก. ดีไซน์สับประรดเพชรบุรีจะเป็นทรงเจดีย์ คือโป่งตรงก้น ส่วนด้ำนหัวจะมีขนาดลีบลงไปเรื่อย ๆ ลักษณะของตาค่อนข้ำงใหญ่และโปน ทำให้ดึงออกมารับประทานทีละตาได้สะดวก เนื้อมีสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมแรง ส่วนหัวจะมีรสหวานอมเปรี้ยว แต่บริเวณก้นจะออกหวาน กรณีที่แก่จัดหรือที่ตามีสีเหลืองจะหวานมากทีเดียว
เทคนิคการปลูกและดูแลรักษา
สับปะรดพันธุ์ฉีกตา หรือพันธุ์เพชรบุรี1 นั้นก็ใช้ระบบปลูกเหมือนกับสับปะรดปัตตาเวีย คือเตรียมต้นให้ดีรองพื้นด้วยปุ๋ยอินทรีย์(ขี้ไก่) สัก 1 ตัน/ไร่ คัดขนาดหน่อแยกปลูกตามขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ปลูกแบบแถวคู่ใช้ระยะปลูก 30 x 40 x 80 เซนติเมตร (ระยะต้น/ระยแถว/ระยะแถวคู่) ปลูกได้ประมาณ 8,500 9,000 ต้น/ไร่ ใส่ปุ๋ยหลัก ช่วงแรกเมื่ออายุ 3 และ 6 เดือน ครั้งละ 10 กรัม/ต้น ประมาณ 2-3 เดือนหลังปลูกอีกด้วย ปุ๋ยทางใบโดยใช้ส่วนผสมของยูเรีย 4-5 กิโลกรัม เหล็ก 5-6 กิโลกรัม สังกะสี150 กรัม และโปรแตสเซียม 1.5 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1,500 ลิตร ฉีดพ่น 5 ครั้ง (เดือนละครั้ง) หลังจากฉีดปุ๋ยทางใบครั้งสุดท้ำยไป 1 เดือน ใส่ปุ๋ย อัตรา 1 ช้อนกาแฟ/ต้น โดยใส่ที่กาบใบล่าง จนสับปะรดอายุ 9-10 เดือน จึงบังคับการออกดอกด้วยสารเอทีฟอนผสมปุ๋ยยูเรีย ตามค าแนะน าของฉลากรวม 2 ครั้ง ห่างกัน 5 วัน ประมาณ 30 วัน จะเห็นดอกสับปะรดสีแดงที่กลางทรงพุ่มอีก 3 เดือน (90 วัน) ก็เก็บเกี่ยวได้ จะเก็บเกี่ยวผลได้เร็วกว่าสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย ประมาณ 15-20 วัน ฉีดปุ๋ยเสริม ต่อน้ำ 1,500 ลิตรอีก 2 ครั้ง และเมื่อออกดอกไป 50-60 วัน ช่วงออกดอกและให้ผลผลิตจะ ทำการให้น้ำช่วยให้สับปะรดได้สร้ำงผลผลิตคุณภาพดี มีขนาดผลโตเนื้อแน่นขึ้น ใช้วิธีการปลูกสับปะรดแบบหมุนเวียนพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ พื้นที่ปลูกใหม่ไว้ตอนขยายพันธุ์ แปรงพักฟื้นและแปลงเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งจะเก็บผลผลิตรุ่น เดียวแล้วไถกลบทิ้งไว้แล้วไปปลูกที่แปลงพักฟื้นก่อนหมุนเวียนกันไป แบบทยอยปลูกโดยแบ่งเป็นแปลงละ 5 ไร่ และบังคับดอกครั้งละ 5,000 ต้น เพื่อบริหารจัดการด้านการขาย
ผลผลิต ซึ่งโดยเฉลี่ยสับปะรดพันธุ์ฉีกตาให้ผลผลิตราวๆ 7-8 ตัน/ไร่ ต่ากว่าพันธุ์ปัตตาเวีย ประมาณ 2 ตัน/ไร่แต่เมื่อดูรายได้จากการขายผลผลิตแล้วจะต่างกันมากมาย
สำหรับหน่อที่นำมาปลูกนั้น ปัจจุบันดูเหมือนว่ามีสุขภาพที่ดีพอสมควร แต่เนื่องจากช่วงนี้ที่บ้ำนอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพื้นที่สีเขียว จะมาอัพเดทภาพให้ดูในภายหลังนะคะ เพื่อนสมาชิกท่านใดสนใจสัปปะรดพันธุ์เพชรบุรี สามารถติดต่อหรือขอรายละเอียดได้โดยตรงที่เจ้ำของผลงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ติดถนนบายพาสชะอำ-ปราณบุรี ต.สามพระยา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โทร. 032-594-067-8
ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.phpid=spicy&month=12-05-2010&group=31&gblog=1
ป้ายคำ : ผลไม้