บีที เป็นสารชีวินทรีย์กำจัดแมลงศัตรูพืช ที่มีประสิทธิภาพกำจัดแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าการออกฤทธิ์ของบีทีจะต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าแมลงศัตรูพืชจะตาย แต่เป็นการทำลายแมลงศัตรูพืชที่เป็นวิธีการที่ปลอดภัยกว่าการใช้สารเคมีโดย ทั่วๆ ไป
เชื้อแบคทีเรีย บาซิลัส ทูริงเยนซิส หรือ บีที เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งในธรรมชาติที่มีฤทธิ์ในการทำลายแมลง โดยเฉพาะหนอนผีเสื้อ ที่เป็นศัตรูของพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายชนิด เมื่อหนอนกินเชื้อ บี ที เข้าไปสารพิษที่ บี ที สร้างขึ้นจะไปมีผลทำให้ระบบย่อยอาหาร ของแมลงล้มเหลว กระเพาะบวมเต่งและแตก ส่งผลให้แมลงหยุดกินอาหารเคลื่อนไหวช้า ชักกระตุก เป็นอัมพาต และตายภายใน 1-2 วัน เชื้อ บี ที จึงสามารถใช้ในการควบคุม หนอนผีเสื้อ ศัตรูพืชหลายชนิดที่ดื้อต่อสารเคมีได้ดี ในขณะเดียวกันเชื้อ บี ที ยังเป็น เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ สัตว์ และไม่มีพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม
บีที (Bt) คืออะไร
เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis หรือเรียกว่าเชื้อ บีที (Bt) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สามารถนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช และศัตรูมนุษย์ได้หลายชนิด เนื่องจากมีความเฉพาะเจาะจงสูในการทำลายเฉพาะแมลงเป้าหมายเท่านั้นเชื้อบีที จึงเป็นจุลินทรีย์ที่มีความปลอดภัยสูงต่อมนุษย์ สัตว์เลือดอุ่น ปลา และนก รวมทั้งแมลงที่มีประโยชน์ เช่น ผึ้ง แมลงห้ำและแมลงเบียนเป็นต้น จากข้อดีของความเฉพาะเจาะจงต่อแมลงเป้าหมาย ปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทั่วโลกจึงได้มีการวิจัยและพัฒนาเชื้อบีทีอย่างกว้างขวาง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำมาใช้เป็นสารชีวินทรีย์ควบคุมแมลงศัตรูพืช และศัตรูมนุษย์
รูปร่างลักษณะของเชื้อบีที (Bt)
เชื้อบีทีเป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงถึง 400 เท่า จึงจะสามารถมองเห็นได้ เชื้อบีทีมีรูปร่างเป็นแท่ง ความกว้างประมณ 0.5 0.8 ไมโครเมตร ยาว 1.0 3.0 ไมโครเมตร สามารถสร้างสปอร์และสารพิษภายในเซลล์ของมัน เราเรียกสารพิษนี้ว่า เดลต้า เอ็นโดท็อกซิน (delta endotoxin) มีรูปร่างเป็นผลึกคล้ายขนมเปียกปูนหรือรูปสี่เหลี่ยม ขบวนการสร้างสารพิษนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างสปอร์ หลังจากเซลล์สร้งสปอร์และสารพิษเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซลล์จะแตกสปอร์และสารพิษหลุดออกจากเซลล์
เชื้อแบคทีเรียบีที ฆ่าแมลงได้อย่างไร
เชื้อบีทีแตกต่างจากสารเคมีฆ่าแมลงที่ส่วนใหญ่มักจะถูกตัวตาย แต่เชื้อบีทีกำจัดแมลงตัตรูพืชนั้น แมลงจะต้องกินเชื้อบีทีเข้าไปถึงจะออกฤทธิ์ทำลายแมลงได้ โดยทั่วๆ ไปเชื้อบีทีจะทำลายเฉพาะตัวอ่อนของเมลงเท่านั้น เช่น ตัวหนอน หรือลูกน้ำยุง จะไม่ทำลายศัตรูพืชระยะที่เป็นไข่หรือตัวเต็มวัย ยกเว้นบีทีบางสายพันธุ์ที่สามาระทำลายได้ทั้งตัวอ่อน และตัวเต็มวัยของด้วงปีกแข็งบางชนิดเมื่อแมลงกินสารพิษ และสปอร์เข้าไปในกระเพาะ น้ำย่อยในกระเพาะมีคุณสมบัติเป็นด่างค่อนข้างสูง จะย่อยสารพิษซึ่งอยู่ในรูป protoxin ให้เป็น active toxin (สารพิษแท้จริง)ซึ่งจะเข้าทำลายเซลล์เยื้อบุผนังกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารถูกทำลาย ระดับความเป็นกรด ด่างภายในลำตัวของแมลงเปลี่ยนไป ส่งผลให้แมลงเป็นอัมพาตหรือเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้แมลงไม่สามารถกินอาหารได้ ขณะเดียวกันเมื่อผนังของกระเพาะอาหารถูกทำลาย สปอร์ของบีทีและเชื้อโรคที่อยู่ในกระเพาะสามารถไหลผ่านจากรูแผลบนผนังกระเพาะเข้าสู่ระบบเลือดของแมลง จะขยายทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้โลหิตเป็นพิษ แมลงจะตายในเวลาต่อมา โดยทั่ว ๆ ไปเชื้อบีทีจะทำลายแมลงโดยใช้ระยะเวลา 2 3 วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของแมลง และปริมาณเชื้อของบีทีที่แมลงกินเข้าไปด้วย
ชนิดของแมลงศัตรูพืชที่สำคัญที่สามารถควบคุมด้วยเชื้อบีที
หนอนใยผัก หนอนคืบกระหล่ำ หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอม หนอนร่านกินใบปาล์ม หนอนแปะใบ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด หนอนแก้วส้ม หนอนกินสนสามใบ
- พืชผัก หนอนใยผัก หนอนคืบกะหล่ำ หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนผีเสื้อขาว และหนอนกินใบผัก เป็นต้น
- พืชไร่ หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด หนอนบุ้ง และหนอนคืบละหุ่ง เป็นต้น
- ไม้ผล หนอนประกบใบส้ม หนอนกินใบชมพู่ หนอนร่าน หนอนแก้วส้ม หนอนไหมป่า และหนอนแปะใบองุ่น เป็นต้น
วิธีการใช้เชื้อบีที
- ควรอ่านฉลากข้างภาชนะบรรจุเสียก่อน เพื่อให้ทราบว่าเชื้อบีทีชนิดนี้สามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชชนิดใดได้บ้าง มีเชื่อแมลงศัตรูพืชที่ต้องการกำจัดระบุอยู่บนฉลากหรือไม่ ทั้งนี้ ในท้องตลาดมีบีทีหลายสายพันธุ์ ประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงจะแตกต่างไป
- เชื้อบีทีเป็นสิ่งมีชีวติ จะถูกทำลายโดยรังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) จากแสงแดด ดังนั้น จึงควรพ่นบีทีหลังบ่ายสามโมงเย็นไปแล้ว จะช่วยยืดอายุเชื้อบีทีบนต้นพืชให้มีรปะสิทธิภาพอยู่ได้นานขึ้น
- แมลงต้องกินเชื้อเข้าไป บีที จึงจะสามารถทำลายแมลงได้ แมลงศัตรูผักบางชนิด เช่น หนอนใยผัก หนอนคืบกะหล่ำ มักอาศัยกัดกินอยู่ด้านล่างของใบ ดังนั้น การพ่นบีทีควรครอบคลุมบริเวณส่วนล่างของใบพืชด้วย จึงจะสามารถควบคุมหนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การปรับหัวฉีดเครื่องพ่นสารให้ละอองเล็กที่สุดจะช่วยให้ละอองยาเกาะผิวใบได้ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงได้ดีขึ้น
- ควรผสมสารจับใบในการพ่นเชื้อบีทีทุกครั้งตามอัตราแนะนำการใช้ที่ข้างขวด
- การพ่นเชื้อบีทีควรพ่น เมื่อสำรวจพบหนอนตัวเล็ก ซึ่งเป็นหนอนวัยแรก ๆ (วัย 1 3) จะให้ผลในการควบคุมดีกว่าการพ่นเชื้อเมื่อพบหนอนตัวใหญ่ (วัย 4 5)
- ไม่ควรผสมเชื้อบีทีกับสารป้องกันกำจัดโรคพืช เพื่อใช้พ่นในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ เนื่องจากสารป้องกันกำจัดโรคพืชบางชนิดอาจทำให้เชื้อบีทีเสื่อประสิทภาพได้
- เนื่องจากเชื้อบีทีออกฤทธิ์ช้า ใช้เวลา 2 3 วัน แมลงถึงจะตาย ดังนั้น การใช้อัตราสูงกว่าคำแนะนำไม่ช่วยให้แมลงตายเร็วขึ้น การใช้อัตราต่ำกว่าคำแนะนำ จะส่งผลทำให้แมลงไม่ตาย และทำความเสียหายแก่ผลผลิต จึงควรใช้เชื้อบีทีตามอัตราที่แนะนำ
- เมื่อพบการระบาดของแมลงรุนแรง ควรพ่นเชื้อบีทีตามอัตราแนะนำ โดยพ่นติดต่อกัน 3 ครั้ง ระยะห่างกัน 3 4 วัน จะช่วยลดความเสียหายจากแมลงได้ดีกว่าการพ่นเพียงครั้งเดียว
วิธีการใช้เชื้อ บี ที
เชื้อ บี ที ที่มีจำหน่ายมีหลายชนิด หลายความเข้มข้น ทั้งในรูปผงแห้ง และน้ำเข้มข้น การใช้ บี ที ควรใช้ตามอัตราแนะนำตามฉลาก โดยมีวิธีการดังนี้
- สำหรับ บี ที ผงแห้งควรผสมในน้ำประมาณ 1 ลิตร แล้วคนให้ละลายก่อนจะนำไปผสมลงในน้ำที่จะใช้ฉีดพ่นทั้งหมด
- หลังจากผสม บี ที แล้วให้พักไว้ 2-3 ชั่วโมง ให้เชื้อ บี ที แตกตัวและสร้างสารพิษในถังฉีดพ่น
- ควรผสมสารจับใบทุกครั้งที่พ่น เพื่อช่วยให้เชื้อ บี ที ติดอยู่กับส่วนต่างๆ ของพืชได้นานยิ่งขึ้น
- ควรปรับหัวฉีดให้เกิดละอองน้ำให้มากที่สุด ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชมากที่สุด และควรฉีดพ่นในเวลาเย็น
- ควรพ่น บี ที 3 – 5 วัน ติดต่อกัน 2 – 3 ครั้ง ในช่วงที่หนอนเกิดการระบาด
เทคนิคการใช้เชื้อ บี ที ให้ได้ผลดี
- ควรใช้เชื้อ บี ที ในขณะที่หนอนยังเล็กอยู่
- ควรพ่น บี ที ในตอนเย็นเพื่อเลี่ยงแสงแดด และการฉีดพ่นในขณะมีความชื้นในแปลงสูง จะได้ผลดียิ่งขึ้น
- ควรฉีดพ่น บี ที ติดต่อกัน 2-3 ครั้ง และควรผสมสารจับใบทุกครั้ง
- ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังใหม่และยังไม่หมดอายุการใช้งาน หรือยึดเกณฑ์
บี ที ผงแห้ง จะมีอายุ 2-3 ปี นับจากวันผลิต
บี ที น้ำเข้มข้น จะมีอายุ 1-2 ปี นับจากวันผลิต
- ไม่ควรผสมเชื้อ บี ที กับสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น สารปฏิชีวนะและสารประกอบทองแดง คอปเปอร์ คลอไรด์ เป็นต้น
- ควรเก็บภาชนะบรรจุ บี ที ไว้ให้พ้นจากแสงแดดและความร้อน
การขยายเชื้อบีที
- ขยายเชื้อบีทีด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน ใช้มะพร้าวอ่อน 1 ผล เจาะเปิดฝาพอใส่เชื้อลงไปได้ ใส่เชื้อบีที 10 กรัม ปิดฝาทิ้งไว้ 1 วัน นำมาผสมน้ำฉีดพ่นได้ 20 ลิตร
- การขยายเชื้อบีทีด้วยนมกล่อง ใช้นมกล่องพาสเจอร์ไลท์ตามท้องตลาดทั่วไป 1 กล่อง(ผลิตภัณฑ์จากนมวัวมีรสหวานจะดีที่สุด) 200-250 ซี.ซี. เปิดฝาออกให้เทเชื้อใส่ได้ เติมเชื้อบีที 10 กรัม หมักทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงมาผสมน้ำฉีดพ่นได้ 20 ลิตร
คำแนะนำสำหรับการใช้เชื้อบีที
- สำรวจแปลงปลูกพืชสัปดาห์ละสองครั้ง
- ควรฉีดพ่นเชื้อบีทีในตอนเย็นแดดอ่อนๆ
- การฉีดพ่นควรฉีดให้ครอบคลุม ด้านล่างของใบพืช เช่นเดียวกับด้านบน
- ใช้หัวฉีดคุณภาพดี ปรับหัวฉีดให้ได้ละอองสารที่มีขนาดเล็ก สม่ำเสมอ
- ควรผสมเชื้อบีทีกับสารจับใบ หรือ สารช่วยแพร่กระจายในการฉีดพ่นทุกครั้ง
- การรดน้ำภายหลังการฉีดพ่น น้ำจะไปชะล้างเชื้อบีทีออกจากพืช และหากภายใน 48 ชม. หลังฉีดพ่นมีฝนตกหนักให้ฉีดพ่น เชื้อบีทีซ้ำอีกครั้ง
- ในกรณีที่จำเป็นต้องฉีดพ่นทุกสัปดาห์ เป็นเวลาติดต่อกันหลายสัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ห้ามใช้เชื้อบีทีทุกครั้งที่ทำการฉีดพ่น แต่ให้ใช้สารสกัดสะเดา หรือ สารกำจัดแมลงชนิดอื่นที่มีพิษต่ำ(บีเอ็มพีพลัส ท๊อกซิน-ไอ พลัส) สลับ กับการใช้เชื้อบีที 2-3 ครั้ง สารสะกัด สะเดาได้รับการอนุญาตให้ใช้ในการผลิตพืชอินทรีย์ได้ แต่อาจเป็นอันตรายต่อแมลงที่มีประโยชน์ได้มากกว่า เชื้อบีที
ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้เชื้อ บี ที
ข้อดี
- เฉพาะเจาะจงต่อแมลงเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ไม่มีผลกระทบต่อแมลงชนิดอื่นๆ ที่ไม่ต้องการกำจัด เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน
- ปลอดภัยต่อพืช สัตว์ และมนุษย์ การใช้เชื้อ บี ที จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค และผู้ใช้
- ไม่มีพิษตกค้างเมื่อพ่น บี ที แล้วจึงสามารถนำพืชมาบริโภคได้ทันที
- มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ จึงสามารถใช้แทนสารเคมีกำจัดแมลง ศัตรูพืชได้ และหาซื้อได้ง่าย
ข้อควรระวัง
ไม่ควรใช้เชื้อ บี ที ฉีดพ่นกำจัดหนอนในแปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหม
หากผู้อ่านหรือเกษตรกรท่านใดสนใจในรายละเอียดของบีที สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยการปราบศัตรูพืชทางชีวภาพ กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช โทรศัพท์ 0 2940 7493 ได้ในวัน เวลา ราชการ
กรมวิชาการเกษตร ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์ : 0-2561-2825, 0-2940-6864
โทรสาร : 0-2579-4406