การปลูกไผ่เพื่อขายหน่อจัดเป็นรูปแบบเกษตรกรรมอินทรีย์และปลอดสารพิษ เนื่องจากมีการใช้สารเคมีน้อยมากหรือไม่ได้ใช้เลย นอกจากนั้นการปลูกไผ่ยังช่วยลดโลกร้อนได้ดีกว่าต้นไม้หลายชนิด อย่างกรณีของ คุณวรรณบดี และ คุณลำพึง รักษา เกษตรกร อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ซึ่งเริ่มจากการปลูกพืชผักและไม้ผลหลายชนิดและหนึ่งในนั้นคือปลูกไผ่บงหวาน เมื่อต้นไผ่บงหวานมีหน่อจำหน่ายได้ปรากฏว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ด้วย ลักษณะเด่นอยู่ที่หน่อไผ่มีรสชาติไม่ขม สามารถกินเป็นหน่อไม้ดิบเหมือนผักสดและไม่ขมติดลิ้นเหมือนหน่อไม้ไผ่พันธุ์อื่น ๆ นำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ ต้มจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมันหอย ชุบแป้งทอด และต้มจืดกระดูกหมู เป็นต้น
ไผ่บงหวาน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Bambusa sp.
วงศ์: Gramineae
ไผ่เป็นพืชที่เราคุ้นเคยมานาน เป็นพืชมงคลชนิดหนึ่งที่ควรหามาปลูกประดับบ้าน บางพื้นที่ก็ปลูกเพื่อการบริโภคหน่อ บ้างก็ปลูกเชิงการค้าเป็นไม้ใช้สอยเป็นพืชที่มีประโยชน์นานัปการ ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ซึ่งเป็นอาหารที่คนไทยนิยมกินกันมาก โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน สามารถนำหน่อไม้มาทำอาหารได้ทั้งประเภทแกง ผัด ต้มหรือใช้ถนอมอาหารเก็บไว้กินได้นานๆโดยทั่วไปแล้ว หน่อไม้ที่ใช้รับประทาน มักจะต้องต้มหรือนึ่ง เพื่อเอารสขื่นทิ้งไป แล้วจึงจะนำมาปรุงอาหารหรือรับประทาน แต่ยังมีหน่อไม้อีกพันธุ์หนึ่งที่เราสามารถรับประทานดิบได้ โดยไม่ต้องต้มเอารสขมทิ้งไปก่อนและมีความหวานกรอบ คล้ายยอดมะพร้าว นั่นคือไผ่บงหวาน ด้วยคุณลักษณะเด่นของไผ่ชนิดนี้ น่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่มีอนาคตให้แก่เกษตรกร หากมีการรวมกลุ่มหรือปลูกกันอย่างจริงจังลักษณะพันธุ์เป็นไผ่ขนาดกลาง ลำต้นคดไม่สวยงามต้นโตเต็มที่สูงประมาณ 7-12 เมตร หน่อที่เก็บจากต้นที่โตเต็มที่จะมีขนาด 4-5 หน่อต่อกิโลกรัมมีลักษณะเด่นคือหน่อไผ่มีรสหวาน ไม่ขื่น เมื่อปอกเปลือกแล้วสามารถกินดิบๆ โดยไม่มีรสขมติดลิ้นเหมือนไผ่พันธุ์อื่นๆ นำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เป็นไผ่ที่ออกหน่อมากและมีแขนงมากด้วย ต้องหมั่นตัดแขนงอยู่บ่อยๆหรือเรียกว่า สางกอ แต่ต้นไหนที่ตัดแขนงไปแล้ว ก็ไม่ต้องตัดซ้ำนอกจากนี้ยังเป็นไผ่ที่มีใบมาก และลำต้นคด ทำให้ลำต้นโน้มเอียงออกจากกอได้มาก ในฤดูที่ลมแรง ต้องคอยนำสายรัดหรือเชือกมัดรอบลำต้นทั้งกอเอาไว้ เพื่อไม่ให้โน้มเอนลง ช่วยให้การปฏิบัติดูแลรักษาในสวนไผ่ได้ง่ายขึ้น
ข้อคำนึงก่อนตัดสินใจปลูกไผ่หวาน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมควรมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย ถ้าเป็นดินเหนียว หรือดินโคกลูกรัง จะต้องปรับปรุงดินก่อนปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก มีการเตรียมดินก่อนปลูก ด้วยการไถตากหน้าดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรคและกำจัดวัชพืช หลังจากนั้นให้ไถอีกครั้งเพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย เหมาะต่อการปลูกไผ่
การเตรียมพื้นที่ปลูกโดยเตรียมพื้นที่ไว้ตั้งแต่ฤดูแล้งซึ่งจะทำงานได้สะดวก สามารถลงมือปลูกได้ทันในต้นฤดูฝนถ้าเป็นพื้นที่ที่เป็นแอ่ง ที่ลุ่มน้ำขัง มีเนินหรือมีตอไม้อยู่ต้องไถบุกเบิกกำจัดตอออกให้หมด ปรับสภาพพื้นที่ให้เรียบแต่ถ้าเป็นพื้นราบอยู่แล้ว แค่ไถพรวนกำจัดวัชพืชอย่างเดียวก็พอแล้ว พื้นที่ที่จะปลูก ควรเป็นที่โล่ง ไม่มีไม้ใหญ่เพราะจะไปบังแสงและแย่งอาหารจากไผ่ถ้าได้พื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจะดีมาก เพราะไผ่เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ไม่ชอบน้ำขังในแหล่งที่สามารถให้น้ำได้ตลอดทั้งปี ก็สามารถปลูกไผ่หวานได้ตลอดปีเช่นกัน เริ่มโดยการไถดะ ตากดินไว้สัก 7- 10 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วไถพรวนให้ดินร่วนซุย แล้วขุดหลุมปลูกส่วนระยะปลูก จะใช้ระยะระหว่างต้นเท่าใด ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ปลูก พิจารณาดังนี้:-
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ว่า จะเว้นระยะห่างเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมเพราะต้องขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้จัดการกับแปลงปลูก และการดูแลรักษาของเกษตรกรเองด้วย
การปลูกระยะห่าง 2 x 4 เมตร และ 3 x 3 เมตร ถือว่าสะดวก และเหมาะสมกับการจัดการกับแปลงปลูกควรปลูกไผ่บงหวานในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน คือเดือนมีนาคม- เมษายน เพราะต้นไผ่จะมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าการปลูกในช่วงฤดูฝน เหตุผลคือ ต้นไผ่จะตั้งตัวและออกรากก่อนเข้าฤดูฝน เมื่อฝนมาก็จะทำให้ไผ่เจริญเติบโตเร็วมากแต่หากปลูกในช่วงฤดูฝน ต้นไผ่ก็ต้องการปรับสภาพในช่วงแรก บางครั้งฝนตกมากน้ำขังแฉะ ก็ทำให้ต้นไผ่ชะงักการเจริญเติบโตบ้าง วิธีการปลูกก่อนฤดูฝนจะดีกว่าปลูกในฤดูฝน
วิธีการปลูก
ขุดหลุมปลูกขนาด กว้าง x ยาว x ลึก 30 – 50 x 30-50 x 30-50 เซนติเมตร แล้วใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต1 กระป๋องนม (ประมาณ 300-500 กรัม) ต่อหลุมผสมปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้วประมาณ 1 กิโลกรัมและสารฆ่าแมลงฟูราดาน 1 ช้อนแกง (10 กรัม)คลุกเคล้ากับดินคนให้ทั่ว แล้วใส่ลงไปในหลุมส่วนหนึ่งแล้วจึงนำถุงต้นกล้าไผ่หวาน เอามาฉีกถุงพลาสติกออกแล้วปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ ใช้ดินส่วนที่เหลือกลบให้ถึงโคนจนพูน (เมื่อดินยุบตัวแล้วจะพอดีได้ระดับเสมอกับดินในแปลงปลูก) กลบโคนให้แน่น อนึ่ง ก่อนปลูกควรนำกล้าพันธุ์ไผ่วางไว้กลางแจ้งสัก 2 – 4 สัปดาห์เพื่อให้ต้นกล้าพันธุ์ชินกับสภาพแสงแดด ช่วงที่ปลูกใหม่ๆ หากไม่มีฝนตกต้องช่วยรดน้ำประมาณ 2-3 วัน/ครั้ง
การให้น้ำ ให้น้ำด้วยการขังให้ท่วมแปลงแล้วปล่อยให้แห้งภายใน 1 วัน หรือให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ก็ได้ซึ่งการให้ด้วยระบบสปริงเกอร์ จะช่วยทำให้มีอ๊อกซิเจนในอากาศเพิ่มขึ้น ทำให้บรรยากาศในสวนปลอดโปร่ง มีส่วนช่วยให้ไผ่ออกหน่อดกมากขึ้น การให้น้ำ ควรดูตามสภาพอากาศช่วงปกติ ให้น้ำวันละครั้ง ช่วงผลิตนอกฤดู ควรให้น้ำเพิ่มเป็น2- 3 ครั้ง/วัน แต่ให้ในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าเป็นช่วงฤดูฝนถ้าฝนตกเรื่อยๆ ดินชื้นตลอด ไม่ต้องให้น้ำ ถ้าฝนขาดช่วงสังเกตว่าดินแห้ง จึงค่อยให้น้ำการให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเช่น มูลวัว มูลควาย มูลไก่ มูลหมู และวัสดุที่เหลือจากภาคเกษตรกรรมเช่นฟางข้าว ซังข้าวโพด แกลบ ขี้เถ้า กากถั่วเหลืองใบไม้แห้ง เป็นต้น ใส่ที่โคนไผ่กอละประมาณ 5-10 กิโลกรัม ใส่ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้งใส่ครั้งแรกช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม แล้วให้น้ำตามและ 2-3 เดือน ก็ใส่อีกครั้ง โดยใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก การนำปุ๋ยหมักมาเป็นวัสดุใส่โคนไผ่เพื่อช่วยในการอุ้มน้ำให้มีความชุ่มชื้น และช่วยทำให้ดินร่วนซุยสามารถแทงหน่อออกมาได้ง่าย จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำเจือจางรดผสมร่วมไปด้วยก็ได้การดูแลรักษาที่เน้นเป็นพิเศษ
การดูแลจัดการทั่วๆไป เมื่ออายุ 1-2 ปี จะมีหน่อแทงขึ้นมาอีก 5 – 6 หน่อ ในปีนี้จะยังไม่มีการตัดหน่อปล่อยให้เป็นลำต่อไป การดูแลกอ เพียงแต่ตัดเอาหน่อเน่าลำแคระแกร็น และตัดแต่งกิ่งแขนงทิ้ง เมื่อขึ้นปีที่ 3 จะมีลำประมาณ 8-12 ลำ ไผ่หวานเมื่ออายุ 3 ปี ก็มีหน่อพอที่จะตัดขายได้ในการตัดหน่อนี้ ควรจะตัดจากกลางกอก่อนแล้วขยายออกมารอบนอกกอ ซึ่งหน่อนอกๆ ต้องมีการรักษาไว้บ้างเพื่อให้เป็นลำแม่ โดยเลือกหน่อที่อวบใหญ่ และอยู่ในลักษณะที่จะขยายออกเป็นวงกลม จะทำให้กอใหญ่ขึ้นมีหน่อมากขึ้นในฤดูต่อไปช่วงฤดูฝน จะปล่อยให้หน่อเจริญเป็นลำ ให้เหลือไว้8-12 ลำ/กอ เพื่อเป็นลำแม่ที่จะให้หน่อในฤดูถัดไปลำที่เหลือไว้นี้ จะเป็นลำแม่ที่ค้ำจุนและบังลมให้ลำที่เพิ่งแตกใหม่ ลำที่ตัดออกนี้ ให้ตัดติดดินหรือเหลืออยู่เหนือพื้นดินประมาณ 5 เซนติเมตร เพราะลำแก่ที่มีอายุตั้งแต่3 ปีขึ้นไป จะแตกหน่อได้น้อย ทั้งยังเป็นการเร่งให้หน่อใหม่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ดีขึ้น ลำที่ขึ้นมาใหม่จะมีกิ่งแขนงเล็กๆแตกออกมา ต้องตัดกิ่งแขนงทิ้งไปและต้องตัดแต่งต้นแก่ออก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน (มีดที่ใช้ตัดต้องมีความคมมากมิฉะนั้น ต้นไผ่จะช้ำและ กระทบกระเทือนถึงรากขอแนะนำให้ใช้กรรไกรแบบด้ามยาว) ลำไผ่ที่ตัดทิ้งนั้นนำไปใช้ทำไม้ค้ำยันต้นไม้และผักในสวน หรือจะนำไปใช้เผาถ่านไม้ไผ่ไว้ใช้ในครัวเรือน เหลือก็ขายมีรายได้เพิ่มอีกส่วนเศษใบเศษกิ่งไผ่ก็ทิ้งไว้ในแปลง ปล่อยให้จุลินทรีย์ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไผ่ต่อไป นอกจากตัดแต่งต้นเก่าออกปีละครั้งแล้วช่วงเวลาฤดูฝนเป็นช่วงที่ต้องปล่อยให้หน่อไผ่ที่แทงออกห่างกอเจริญไปเป็นลำไผ่ โดยกอหนึ่งจะปล่อยให้ขึ้นลำ ประมาณ 8-12 ลำ เพื่อเป็นลำแม่ที่จะให้หน่อในฤดูถัดไป ลำที่ปล่อยขึ้นใหม่จะมีแขนงออกตามข้อ ต้องคอยตัดแขนงทิ้งในช่วงนอกฤดู แขนงจะไม่ออก เพราะหน่อไผ่ที่ออกมาจะถูกขุดขายตลอด ยิ่งขุดยิ่งออกหน่อมาเรื่อยๆ
ไผ่บงหวานอายุ 3 ปีขึ้นไป จะให้ผลผลิตได้ 8-12กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน ช่วงนอกฤดูตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ราคาหน้าสวนจะขายกิโลกรัมละ 50 บาทช่วงในฤดูตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม ราคาหน้าสวนจะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 35 บาท (ราคา พ.ศ. 2553)ไผ่บงหวานจะออกหน่อง่าย ออกได้เรื่อยๆทั้งปีในช่วงนอกฤดูจะออกหน่อดก แต่ในช่วงฤดูฝนก็ต้องปล่อยให้เจริญเป็นลำไปบ้าง จึงเก็บผลผลิตได้น้อยกว่าในช่วงนอกฤดู ในช่วงฤดูฝนเมื่อหน่อไผ่ธรรมชาติออกมาทางสวนก็ยังขายหน่อไผ่หวานได้ แม้จะได้ราคาไม่สูงมากเหมือนในช่วงนอกฤดู แต่เมื่อเทียบกับการไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องน้ำ พราะส่วนมากจะอาศัยน้ำฝน ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้ ถ้าเป็นไผ่สายพันธุ์อื่นๆจะมีปัญหาการขายหน่อในช่วงฤดูฝน
การทำให้ออกหน่อนอกฤดูประมาณเดือนพฤศจิกายน ของปีที่2 ที่เริ่มปลูกไผ่ให้เริ่มทำการตัดแต่งกิ่ง ตัดแต่งต้น โดย 1 กอจะเหลือลำหลังการตัดแต่งกิ่งเพียง 8-12 ลำเท่านั้น
วิธีตัดให้ตัดชิดพื้นดิน เลือกลำต้นที่สมบูรณ์คงไว้หลังการตัดแต่งเสร็จ ให้ขุดดินรอบๆ กอ ลึก 1 หน้าจอบใส่ปุ๋ยคอก กอละ 1-2 กิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของแต่ละกอ กลบดินให้แน่นระหว่างนี้ดินยังมีความชื้นอยู่ ปุ๋ยที่ถูกฝังไว้จะค่อยๆละลายและปลดปล่อยธาตุอาหารไปเรื่อยๆ ให้น้ำสม่ำเสมอประมาณต้นเดือนมีนาคม ไผ่หวานจะเริ่มทยอยแทงหน่อออกมา โดยธรรมชาติของไผ่จะมีความทะวายอยู่แล้วแม้ไม่ได้รดน้ำ ก็สามารถออกหน่อได้ตามปกติ เพียงแต่ปริมาณและ คุณภาพอาจจะไม่มาก หรือดีเท่ากับการให้น้ำเพียงพอและสม่ำเสมอ
ศัตรูที่สำคัญ
ป้ายคำ : ไผ่