สวนยกร่อง เป็นระบบการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ชาวไทยปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึง โดยการยกแปลงปลูกให้สูงขึ้นและขุดร่องระบายน้ำ ทำให้สามารถปลูกพืชผลได้หลากหลายชนิดแม้ในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังบ่อยครั้ง
ข้อดีของสวนยกร่อง
ป้องกันน้ำท่วม: การยกแปลงปลูกช่วยป้องกันไม่ให้พืชผลเสียหายจากน้ำท่วม
ควบคุมระดับน้ำ: สามารถควบคุมระดับน้ำในแปลงปลูกได้ตามต้องการ
เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน: ตะกอนดินที่สะสมในร่องน้ำจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน
ปลูกพืชได้หลากหลาย: สามารถปลูกพืชทั้งพืชผัก ผลไม้ และไม้ยืนต้นได้ในแปลงเดียวกัน
ประหยัดน้ำ: ระบบร่องน้ำช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ไม่ต้องใช้สารเคมีในการควบคุมศัตรูพืชมากนัก
หลักการทำสวนยกร่อง
การเลือกพื้นที่: เลือกพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึง แต่มีความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การขุดร่อง: ขุดร่องรอบแปลงปลูกเพื่อระบายน้ำ และขุดร่องภายในแปลงเพื่อควบคุมระดับน้ำ
การยกแปลงปลูก: ยกแปลงปลูกให้สูงขึ้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร
การปลูกพืช: ปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและสภาพอากาศ
การจัดการน้ำ: ควบคุมระดับน้ำในร่องให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช
ลักษณะของสวนยกร่อง
การยกร่อง:
สร้างร่องหรือคันดินสูงขึ้นจากพื้นปกติ เพื่อให้รากพืชไม่แช่น้ำและสามารถระบายน้ำได้ดี
ร่องน้ำระหว่างแปลงใช้สำหรับเก็บกักน้ำและเป็นทางเดินเรือเพื่อขนส่งผลผลิต
ขนาดของร่อง:
ความกว้างของร่องประมาณ 5-10 เมตร
ความยาวของร่องขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่
ร่องน้ำกว้างประมาณ 2-3 เมตร
ขั้นตอนการสร้างสวนยกร่อง
สำรวจพื้นที่: ตรวจสอบสภาพดินและระดับน้ำในพื้นที่
ออกแบบร่อง: กำหนดขนาดร่องและระยะห่างระหว่างร่องให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูก
ขุดร่องน้ำ: ขุดดินจากร่องน้ำมาถมเป็นคันดินสำหรับปลูกพืช
ปรับสภาพดิน: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับปรุงดินก่อนปลูก
ปลูกพืช: ปลูกพืชตามความเหมาะสมของพื้นที่และความต้องการของตลาด
พืชที่เหมาะสำหรับปลูกในสวนยกร่อง
พืชที่นิยมปลูกในสวนยกร่อง ได้แก่
ผลไม้: ทุเรียน มังคุด ลองกอง มะม่วง
พืชผัก: ผักบุ้ง ผักกาด ผักคะน้า แตงกวา
ไม้ยืนต้น: มะพร้าว กล้วย
สวนยกร่องเป็นระบบการเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ลุ่มของไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร
ป้ายคำ : เกษตรอินทรีย์