ขี้เลื่อยเป็นผลพลอยได้จากการเลื่อยไม้ มีลักษณะเป็นผงไม้ละเอียด เป็นของเสียในโรงงานที่เป็นพิษ โดยเฉพาะการทำให้เกิดอาการอักเสบ แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกหลายประการ
ขี้เลื่อยมีสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบจำนวนมาก (เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน) ที่มีหมู่โพลีฟีนอลซึ่งสามารถจับกับโลหะหนักได้ด้วยกลไกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ขี้เลื่อยจากต้นพอบลาร์และต้นเฟอร์ที่ทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์และโซเดียมคาร์บอเนต ดูดซับทองแดงและสังกะสีได้ดี ขี้เลื่อยจากต้นมะพร้าวที่ทำปฏิกิริยากับกรดซัลฟูริกดูดซับนิกเกิลและปรอทได้
คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์
ผลิตปุ๋ยหมักขี้เลื่อย
ศูนย์บริการและถ่ายทอดฯได้เข้าไปศึกษาการผลิตปุ๋ยหมักระบบกองเติมอากาศ ขนาดกองกว้าง 2.5 เมตร ยาว 3.5 เมตร สูง 1 เมตร โดยใช้วัสดุดิบทำปุ๋ยได้แก่ขี้เลื่อยร่วมกับมูลโค โดยใช้อัตราส่วนมูลสัตว์ เพิ่มขึ้นจากที่เคยทำ
กองที่ 1
วัสดุ
1. มูลสัตว์ 1 ส่วน
2. ขี้เลื่อย 2 ส่วน
การย่อยสลาย ประมาณ 80 วัน
กองที่ 2
วัสดุ
1. มูลสัตว์ 1 ส่วน
2. ขี้เลื่อย 1 ส่วน
การย่อยสลาย ประมาณ 50 วัน
ผลการย่อยสลายของวัสดุขี้เลื่อยในกองปุ๋ยหมักแบบที่ 1 ใช้เวลานานกว่ากองปุ๋ยแบบที่ 2 เนื่องจากสัดส่วนของมูลสัตว์ในกองที่ 2 มีมากกว่ากองที่ 1 ทำให้การย่อยสลายได้ดีกว่า
การส่งเสริมให้เกษตรมีการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรได้นำแนวคิดการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้อย่างเหมาะสม เช่นการผลิตและใช้ปุ๋ยหมัก จะช่วยลดต้นทุนการผลิต บำรุงดินพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและที่สำคัญจะนำไปสู่ ระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สร้างโอกาสทางการตลาดเกษตรกรมีรายได้เพิ่ม และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
ข้อจำกัดของขี้เลื่อย คือการสลายตัวช้า เนื่องจากขี้เลื่อยมีอัตราส่วนของสารประกอบคาร์บอนและไนโตรเจนกว้างมากประมาณ 200-300 ดังนั้นแนวทางที่จะทำให้เกษตรกรมีความสนใจมาผลิตปุ๋ยหมักจากขี้เลื่อยได้แก่
ป้ายคำ : อินทรีย์วัตถุ