ชาจากใบหม่อน เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพในประเทศญี่ปุ่น คนไทยใช้ใบหม่อนประกอบอาหาร ชาวจีนใช้เป็นพืชสมุนไพร การนำใบหม่อนไปผ่านกระบวนการทำชาเขียวหรือชาฝรั่งที่โรงงานทำชา จะได้ชาเชียว (ชาใบ) และชาฝรั่ง (ชาผง) ที่มีคุณภาพผ่นเกณฑ์มาตฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใบชาและชาผงของศูนย์ทดสอบ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม การทำชาเขียวจะได้ใบชาประมาณ 18.83% ที่ความชื้น 5.3% ในขณะที่การทำชาฝรั่งจะได้ผงชาประมาณ 23.34% ความชื้น 3.6% ใบหม่อนสามารถทำชาเขียว ชาฝรั่ง และชาจีนแบบครัวเรือนได้ แต่ลักษณะของใบชาเขียวจากโรงงานจะม้วนตัวดีกว่าชาเขียวแบบครัวเรือน น้ำชาที่ได้จะมีสีเขียวอ่อนเช่นเดียวกัน ชาฝรั่งจากโรงงานจะได้น้ำชาสีน้ำตาลเข้มมากกว่าชาฝรั่งแบบครัวเรือนเล็กน้อย การทำชาจีนและชาฝรั่งแบบครัวเรือนจะใช้การคั่วและการอบเท่านั้น ส่วนการทำชาเขียวแบบครัวเรือนจะต้องลวกน้ำร้อนและจุ่มน้ำเย็นเพื่อรักษาสี เขียวของคลอโรฟีล การทำชาแบบครัวเรือนจะต้องระวังเรื่องความชื้นหลังจากการคั่วควรเก็บในภาชนะ ที่ป้องกันความชื้นได้ หรือนำไปอบที่ 80 องศาเซลเซียส นาน 1 ชั่วโมง ก่อนเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด ชาเขียว ชาฝรั่ง และชาจีนแบบครัวเรือน ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเช่นกันในใบชาหม่อนจะพบแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม โปแตสเซี่ยม สูง แต่วิตามิน เอ พบเพียง (เฉลี่ย) 29.50 IU/100 ขณะที่ชาเขียวจากใบหม่อนในญี่ปุ่นพบถึง 4,100 IU/100 กรัม ชาหม่อนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายทั้ง 10 ชนิด และพบกรดอะมิโนถึง 18 ชนิด ดังนั้น การทำชาใบหม่อนเพื่อใช้เป็นเครื่องดื่ม จึงมีความเป็นไปได้ทั้งระดับโรงงานและครัวเรือน
![charbaimonbai](http://www.monmai.com/media/2015/02/charbaimonbai.jpg)
ต่อมาได้ทำการวิเคราะห์ปริมาณเควอซิติน เคมเฟอรอล และฤทธิ์การต้านออกซิเดซันโดยรวมของใบหม่อนอบแห้ง ซึ่งปลูกที่ศูนย์วิจัยหม่อนไหมนครราชสีมา ศูนย์วิจัยหม่อนไหมอุดรธานี สถานีทดลองหม่อนไหมตาก และศูนย์วิจัยหม่อนไหมแพร่ในส่วนยอดใบอ่อน และใบแก่ของพันธุ์นครราชสีมา 60 บุรีรัมย์ 60 คุณไพ และน้อย พบว่า สถานที่ปลูกลำดับใบ และพันธุ์ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลร่วมกันทำให้ปริมาณสารออกฤิทธิ์เควอซิติน เคมเฟอรอล และโพลีฟีนอลโดยรวม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ใบหม่อนซึ่งปลูกที่ศูนย์วิจัยหม่อนไหมอุดรธานี ส่วนยอดของพันธุ์นครราชสีมา 60 มีปริมาณเควอซิตินและเคมเฟอรอลสูงสุด (2,069.8 และ 869.4 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) และส่วนยอดของพันธุ์บุรีรัมย์ 60 มีโพลีฟีนอลโดยรวมสูงสุด (6,310.0 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม โดยแสดงค่าเป็น Gallic acid equivalent)
ในชาหม่อน 5 ชนิด พบว่าชาเขียวใบหม่อนที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมโรงงานหรือแบบครัวเรือน (นึ่ง) มีปริมาณเควอซิติน เคมเฟอรอล และโพลีฟีนอลโดยรวมสูงสุด การใช้น้ำร้อนชงชาพบว่ามีเวลา 6 และ 60 นาที ปริมาณเควอซิตินและเคมเฟอรอลในน้ำชาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) ส่วนปริมาณโพลีฟีนอลโดยรวมในน้ำชาที่เวลา 6, 12, 30 และ 60 นาที ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ฤทธิ์การต้านออกซิเดชันโดยรวมของน้ำชาเขียวใบหม่อนซึ่งผลิตแบบอุตสาหกรรมโรงงานหรือแบบครัวเรือน (นึ่ง) ที่ชงด้วยน้ำร้อนมีค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับชาชนิดเดียวกันที่ไม่ได้ชงด้วยน้ำร้อน ก่อนที่จะนำมาผ่านขั้นตอนการสกัดด้วยการสกัดวิธีการเดียวกัน และสูงกว่าส่วนยอด ใบอ่อน และใบแก่ ของใบหม่อนอบแห้งพันธุ์เดียวกัน ผลการวิจัยนี้ยืนยันได้ว่าใบหม่อน ชาใบหม่อน และน้ำชาใบหม่อนเป็นแหล่งที่ดี
![charbaimonton](http://www.monmai.com/media/2015/02/charbaimonton.jpg)
คุณค่าทางด้านสมุนไพรของใบหม่อน
ในใบหม่อนมีสารตามธรรมชาติอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรไทยที่ แตกต่างกัน คือ
- สารดีอ็อกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ซึ่งสารนี้เองมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
- กาบา (GABA) หรือชื่อเต็มๆคือ gamma amino butyric acid ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต
- สารฟายโตสเตอรอล (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดความระดับคอเลสเตอรอล
- แร่ธาตุ และวิตามิน อื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม โปแตสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี อีกทั้งยังมี กรดอะมิโนหลายชนิด
- สารเควอซิติน (quercetin) และ เคมเฟอรอล (kaempferol) ซึ่งเป็นสารกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติ ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้เล็ก ทำให้กระแสเลือดหมุนเวียนดี และหลอดเลือดแข็งแรง ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดอาการแพ้ต่าง ๆ และยืดอายุเม็ดเลือดขาว
- สารโพลีฟีนอลโดยรวม (polyphenols) ซึ่งมีฤทธิ์ด้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย (ลองอ่านดูเรื่องเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระที่ลิงค์นี้นะครับ สารต้านอนุมูลอิสระ
อุปกรณ์ในการทำชาหม่อนในระดับครัวเรือน ประกอบด้วย
- ใบหม่อนสด พันธุ์ บร. 60 หรือนม. 60 ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตชา
- วัตถุอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่
2.1 หม้อ ขนาดประมาณ 16″-18″
2.2 กระทะ ขนาดประมาณ 24″-28″
2.3 มีด
2.4 เขียง
2.5 เตาแก๊ส
2.6 ผ้าขาว
2.7 กระชอน หรือ (ใช้สวิงแทน)
2.8 ทัพพี ฯลฯ
คุณสมบัติของใบหม่อนที่ใช้ทำชา
- พันธุ์ ใช้พันธุ์ส่งเสริมของทางราชการ คือ พันธุ์บุรีรัมย์ 60 หรือพันธุ์นครราชสีมา 60 ซึ่งทั้งสองพันธุ์เป็นพันธุ์ที่ให้ ้ผลผลิตสูง ใบขนาดใหญ่ หนา ไม่เหี่ยวง่าย เหมาะสมกับการผลิตเป็นชา
- ความสด ใบที่จะใช้ในการผลิตชาใบหม่อนจะต้องมีความสด ไม่ใช้ใบที่เหี่ยว หรือตายนึ่ง ในการผลิตชาหม่อนนั้น ใบสด จะทำให้ได้ใบชาที่มีสีเขียว และมีคุณภาพดี
- ความสมบูรณ์ของใบ ใบที่ใช้ในการผลิตชาใบหม่อน จะต้องเป็นใบหม่อนที่ได้รับการบำรุงรักษาโดยการใส่ปุ๋ยกำจัด วัชพืช และการตัดแต่งเป็นอย่างดี ทำให้ใบมีความสมบูรณ์ เขียว ไม่แคระแกรน
- ความสะอาดของใบ ใบที่ใช้ในการผลิตชาใบหม่อนจะต้องเป็นใบที่สะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน เช่น ดิน ทราย เศษพืชชนิดอื่น เศษพลาสติก สิ่งสกปรก และสิ่งเจือปนอื่น ๆ ห้ามเก็บใบหม่อนใส่ถุงปุ๋ย เพราะจะทำให้ปนเปื้อนสารเคมีในถุงปุ๋ย และเศษพลาสติกจาก ถุงปุ๋ยอาจหลุดปะปนมาในใบหม่อน
- ปราศจากโรคและแมลง ใบที่ใช้ในการผลิตชาใบหม่อนจะต้องเป็นใบที่ปราศจากโรคชนิดต่าง ๆ และต้องไม่มีแมลงหรือ ไข่แมลงปะปนมากับใบหม่อน
- ปลอดสารเคมี ใบที่ใช้ในการผลิตชาใบหม่อน จะต้องเป็นใบที่ได้จากแปลงที่ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และไม่ควร อยู่ใกล้กับแปลงพืชชนิดอื่นที่ใช้สารเคมี
- การเก็บเกี่ยวใบหม่อน วิธีที่เหมาะสม คือ การเก็บเกี่ยวโดยการเก็บใบเช่นเดียวกับการเก็บใบเพื่อเลี้ยงไหม
วิธีการทำชาหม่อนในระดับอุตสาหกรรมครัวเรือน
1. ชาเขียว
ใช้ใบหม่อนสด ได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ มีขั้นตอนการทำดังนี้
- คัดใบหม่อนที่ไม่มีคุณภาพออก เช่น ใบเหลือง ใบเป็นโรค หรือมีสิ่งเจือปน
- หั่นใบหม่อนให้มีขนาดประมาณ 0.5×4.0 เซ็นติเมตร ตัดก้านใบออก
- ลวกน้ำร้อน 20-30 วินาที หรือนึ่งประมาณ 1 นาที
- ถ้าลวกในน้ำร้อน จุ่มน้ำเย็นทันที ผึ่งลมให้แห้งหมาด ๆ
- คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน ประมาณ 20 นาที
- อบที่อุณหภูมิ 80 ํC นาน 1 ชั่วโมง สามารถเก็บไว้ดื่มได้นาน
![charbaimontak](http://www.monmai.com/media/2015/02/charbaimontak.jpg)
ลักษณะทั่วไปของน้ำชา
- สี เขียวอ่อนปนน้ำตาล
- กลิ่น หอมใบไม้คั่ว เช่นเดียวกับใบชา แต่มีกลิ่นน้อยกว่า
- รส หวานเล็กน้อย ฝาดน้อยกว่าชาจากใบชา ไม่มีรสขม
ใบหม่อนสดพันธุ์ บร.60 เมื่อนำมาทำชาเขียวจะได้น้ำหนักใบชาเพียง 18.9 % ที่มีความชื้นน้อยกว่า 1.0 % ดังนั้นการจะได้ผลิตภัณฑ์ชาเขียวหม่อนแบบครัวเรือน 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ใบหม่อนสดประมาณ 5.3 กิโลกรัม
2. ชาจีน
ใช้ใบหม่อนสด ได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ มีขั้นตอนการทำดังนี้
- คัดใบหม่อนที่ไม่มีคุณภาพออก เช่น ใบเหลือง ใบเป็นโรค หรือมีสิ่งเจือปน
- ตัดก้านใบทิ้ง หั่นใบหม่อนให้มีขนาด 0.5 x 3-4 เซ็นติเมตร
- คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน ๆ นานประมาณ 20 นาที
- อบที่อุณหภูมิ 80 ํC นาน 1 ชั่วโมง
- เก็บไว้ในภาชนะป้องกันความชื้นเข้าได้ สามารถเก็บไว้ดื่มได้นาน
ลักษณะทั่วไปของน้ำชาใบหม่อน
- สี เหลืองอ่อนปนน้ำตาล
- กลิ่น หอมใบไม้คั่ว เช่นเดียวกับใบชา แต่มีกลิ่นน้อยกว่า
- รส หวานเล็กน้อย ฝาดน้อยกว่าชาจากใบชา
3. ชาฝรั่ง
มีขั้นตอนการทำดังนี้
- คัดเลือกใบหม่อนที่ไม่มีคุณภาพออก เช่น ใบเหลือง ใบเป็นโรค หรือมีสิ่งเจือปน
- ตัดก้านใบทิ้ง หั่นใบหม่อนให้มีขนาด 0.5 x 3-4 เซ็นติเมตร
- คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน ขณะครั่วใบหม่อนแรง ๆ เพื่อให้เซลล์ใบหม่อนแตกช้ำจนกระทั่งใบหม่อนแห้งกรอบ ใช้เวลานานกว่า 25 นาที
- ทดสอบ สี กลิ่น รส ของน้ำชา และสีของกากใบชา เบื้องต้นเช่นเดียวกับชาจีน
ลักษณะทั่วไปของน้ำชา
- สีน้ำตาล ( เหลืองทองแดง)
- กลิ่น หอมใบไม้คั่ว เช่นเดียวกับชาฝรั่งจากใบชา
- รส ฝาดน้อยกว่าชาจากใบชา
ใบหม่อนสดพันธุ์ บร.60 เมื่อนำมาทำชาฝรั่งแบบครัวเรือนจะได้น้ำหนักชาผงเพียง 15.8 % ที่มีความชื้นน้อยกว่า 1.0 % ดังนั้นการจะได้ผลิตภัณฑ์ชาเขียวหม่อนแบบครัวเรือน 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ใบหม่อนสดประมาณ 6.3 กิโลกรัม
วิธีชงชาที่ถูกต้อง มีขั้นตอนดังนี้
- ใช้น้ำร้อนลวกภาชนะชงชา เพื่อให้กาน้ำชาและถ้วยน้ำชาชุ่มชื่น ช่วยฆ่าเชื้อโรค และดับกลิ่นต่าง ๆ
- ใส่ใบชาในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าเป็นใบชาม้วนประมาณ 1 ใน 3 ของกากน้ำชา ถ้าเป็นใบชาไม่ม้วนประมาณ 1 ใน 2 ของกา
- เทน้ำร้อนลงในกาน้ำชาให้เต็ม เพื่อกระตุ้นใบชาให้คลี่ออก และช่วยล้างใบชาให้สะอาด แล้วรีบเทน้ำทิ้งอย่าแช่ทิ้งไว้นาน (ชาน้ำแรกเททิ้ง)
- เทน้ำร้อนลงในกาน้ำชาอีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที
- รินน้ำชาในถ้วยแต่ละถ้วยให้หมดกา แล้วยกเสริฟ เมื่อต้องการดื่มชาเพิ่มให้เติมน้ำร้อนลงในกาอีกครั้ง ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วยกเสริฟ ใหม่
คุณประโยชน์ของชาหม่อน
จากรายงานของ Preventive Effect of Mulberry leaves on Adult diseases พบว่า ชาหม่อนมีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้โดยมีการศึกษาในหนูทดลอง สรุปได้ดังนี้
- ลดระดับคอเลสเตอรอล สาร Phytosterol เป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด โดยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้
- ลดน้ำตาลในเลือด สารที่เรียกว่าดีอ๊อกซิโนจิริมายซิน ซึ่งมีอยู่ 0.1% ซึ่งสารนี้จนกระทั่งปัจจุบันจะพบเฉพาะในใบหม่อนเท่านั้น ซึ่งมีผลในการยับยั้งการทำงาน ของเอนไซม์ที่ย่อยสลายน้ำตาล และชลอการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ ซึ่งมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ลดความดันโลหิต สาร Gamma-amino butyric acid ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต
บำรุงร่างกาย นอกจากมีสารที่เป็นประโยชน์ในทางการแพทย์แล้ว ยังพบว่าในการวิเคราะห์ชาเขียวจาก ใบหม่อนพบแร่ธาตุต่าง ๆ และโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ข้อมูลจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกระบุว่าชาใบหม่อน เป็นเครื่องดื่มที่นิยมมากในญี่ปุ่น โดยสามารถนำไปผลิตเป็นชาเขียวโดยใช้ใบหม่อนผ่านกระบวนการทำให้แห้ง ขณะที่คนไทยใช้ใบหม่อนประอบอาหาร ชาวจีนใช้เป็นพืชสมุนไพร ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ชาใบหม่อนเป็นแหล่งที่ดีของเควอซิติน(quercitin) เคมเฟอรอล (kaemferol) และโพลีฟีนอล (polyphenol) ซึ่งมีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย
![charbaimonchong](http://www.monmai.com/media/2015/02/charbaimonchong.jpg)
ผลการวิจัยซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวรสารของสถาบันศาสตร์แห่งผิวหนังประเทศสหรัฐอเมริกาให้ข้อสรุปว่า
สารสกัดชาเขียวจากใบหม่อนมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- มีประสิทธิภาพในการป้องกันผิวหนังจากอันตรายที่เกิดขึ้นจากแสงแดดได้
- ป้องกันการอักเสบและการเกิดมะเร็งจากรังสัอัลตร้าไวโอเล็ต
- สามารถป้องกันการก่อตัวของสารเคมีซึ่งเกิดจากรังสีอัตราไวโอเล็ต ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิต้านทานไม่
สามารถทำงานปกติได้ และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคมะเร็ง และมีคุณสมบัติสูงในการต่อต้านการเสื่อมของเซลในร่างกาย(ทำให้ไม่แก่เร็ว)
ใบหม่อนเมื่อทำเป็นชา จะมีรสฝาดน้อยกว่าชาจากใบชา และมีคาเฟอีนน้อยกว่าใบชาถึง 200 เท่า คือ พบ
เพียง 0.01% จึงเหมาะสำหรับผู้ต้องการดื่มชาไม่มีคาเฟอีนและมีรสไม่ขมนิยมนำมาทำเป็นชา ชงสมุนไพรสำหรับดื่มเพื่อเพื่อสุขภาพ เพราะมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระได้ดี ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย
ใบหม่อนนอกจากมีสารกาบา มีคุณสมบัติลดความดันเลือด ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ดี ยังมี
สาร Phytoserol ที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับ โคเลส ตอรอล และมีสาร Deosynotirmycin ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ สารสกัดจากใบหม่อน เช่น สารฟลาโวนอยด์ สารเคทาซิน และสารแทนนิน มีสรรพคุณทางยาดังนี้
- สารฟลาโวนอยด์ จากใบหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว และชักนำให้เซลล์มะเร็ง และชักนำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเม็ดเลือดขาวเปลี่ยนกลับมาเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ
- สารสกัดฟลาโวนอยด์และสารแทนนิน มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสของเชื้อเอดส์ ไม่ให้แพร่กระจาย
- สารสกัดคาเทซิน มีผลลดความอ้วนโดยการออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไลเปส และสร้างความร้อนให้ร่างกายซึ่งช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย นอกจากนั้น ในชาเขียวใบหม่อนยังพบแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายหลายชนิด และโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้ คือ แคลเซียม เหล็ก โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี
- แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามิน บี 2 และวิตามินซี ดังนั้น ชาสมุนไพรที่เหมาะสมกับผู้หญิงที่รักสวย รักงาม นั้น ควรจะเป็นชาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ไม่มีคาเฟอีนที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ รสไม่ฝาด และมีแคลลอรี่ต่ำ ซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในชาใบหม่อน ดังนั้น จึงควรดื่มชาใบหม่อนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและผิวพรรณแทนการดื่มน้ำชาหรือกาแฟที่มีคาเฟอีนสูง
ที่มา
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
กลุ่มหม่อนไหม กองส่งเสริมพืชสวน กรมส่งเสริมการเกษตร
วิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และ ฐานข้อมูลสมุนสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี