ซีอิ้ว (soy sauce) เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหารชนิดหนึ่งที่ได้จากการหมักที่มักจะใช้เป็นเครื่องปรุงรสในการประกอบอาหารของชาวเอเซีย ปัจจุบันซีอิ้วเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในการบริโภคกันในแถบประเทศในทวีปเอเชียและเกือบทุกส่วนของโลกที่มีการบริโภคอาหารของคนเอเซีย ซีอิ้วมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้ม มีรสเค็มและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เกิดจากการหมัก นิยมนำใช้เป็นเครื่องปรุงแต่งอาหารที่ให้ความเค็มที่ให้รสเค็มกลมกล่อมแทนเกลือหรือน้ำปลา จึงมักนำซีอิ้วมาช่วยเพิ่มกลิ่นรสและสีให้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก และอาหารอื่น ๆ
ซีอิ๊ว หมายถึง ผลิตภัณฑ์ของเหลวที่ได้จากการย่อยสลายโปรตีนของถั่วเหลืองหรือส่วนผสมของถั่วเหลืองและแป้งสาลีโดยการหมักด้วยจุลินทรีย์ จะนำมาแต่รสและ/หรือสีหรือไม่ก็ได้ ตามชนิดของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ แล้วนำไปผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน(Pasteurization) ก่อนการบรรจุ
ประเภทของซีอิ๊ว ชีอิ้วมี3 ประเภท ได้แก่
ซีอิ้วผลิตมาจากวัตถุดิบถั่วเหลืองและธัญพืชพวกข้าวสาลีและเกลือแร่ มีกรรมวิธีการผลิตอยู่ 2 แบบ คือ การหมักโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์และการผลิตทางเคมี ซึ่งการหมักซีอิ้วด้วยจุลินทรีย์จะมีจุลินทรีย์หลายชนิดเกี่ยวข้องในกระบวนการหมัก ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ได้แก่ การหมักโคจิและการหมักโมโรมิ ส่วนการผลิตทางเคมีจะใช้กรดเกลือในการย่อยสลายโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต แต่การผลิตซีอิ้วด้วยวิธีการหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์จะได้ผลิตภัณฑ์ซีอิ้วที่มีกลิ่นหอมที่เกิดจากการหมักซึ่งเป็นสารระเหยที่มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนซีอิ้วที่ผลิตทางเคมีจะไม่มีกลิ่นรสเหมือนกับการหมักซีอิ้วแม้ว่าจะมีรสชาติที่ใกล้เคียงกันก็ตาม
ในกระบวนการหมักซีอิ้วด้วยจุลินทรีย์จะเริ่มจากการเลี้ยงเชื้อราที่ชื่อว่า แอสเปอร์จิลลัส โอไรเซ่ (Aspergillus oryzae) หรือแอสเปอร์จิลลัส ซอยเย่ (A. soyae) บนเมล็ดถั่วเหลืองที่ถูกนึ่งจนสุกภายใต้ภาชนะแรงดันและถูกนำมาผสมกับแป้งข้าวสาลี เมื่อผสมกันดีแล้วจะนำมาแผ่ในกระด้งที่มีการถ่ายเทของอากาศที่ผิวหน้าดี ปกติอุณหภูมิที่ใช้จะอยู่ในช่วง 25-35 องศาเซลเซียสและมีความชื้นของวัสดุหมักประมาณ 25-30% บ่มไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง ส่วนผสมถั่วเหลืองและแป้งข้าวสาลีจะถูกปกคลุมด้วยใยราสีขาวและบ่มต่ออีกเป็นเวลา 3 วัน เชื้อราจะปกคลุมทั่วส่วนผสมและสร้างสปอร์สีเหลืองปนเขียว ซึ่งจะเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า โคจิ (koji) เพื่อใช้สำหรับเป็นกล้าเชื้อหรือหัวเชื้อในการผลิตอาหารหมัก ในขั้นตอนนี้เชื้อราที่เจริญอยู่บนโคจิทำหน้าที่สร้างเอนไซม์โปรตีเอส (protease) มาย่อยโปรตีนในถั่วเหลืองให้เป็นกรดอะมิโนและผลิตเอนไซม์อะมัยเลส (amylase) ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและน้ำตาลโมเลกุลคู่ในขั้นตอนการหมักต่อไปที่โคจิจะถูกส่งไปผสมกับน้ำเกลือเย็นในถังหมัก โดยน้ำเกลือมีเข้มข้นประมาณ 35-40 % เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีความเข้มข้นของเกลืออยู่ในช่วง 17-20 % ส่วนผสมระหว่างโคจิและน้ำเกลือนี้เรียกว่า โมโรมิ (moromi) จากนั้นมีการเติมหัวเชื้อยีสต์ แล้วทำการหมักต่อในสภาวะไร้ออกซิเจน (anaerobic fermentation) ขั้นตอนการหมักโมโรมินี้เอนไซม์โปรตีเอสและเอนไซม์อะมัยเลสจากโคจิจะทำการย่อยโปรตีนในถั่วเหลืองและย่อยแป้งจากธัญพืชต่ออีกเป็นเวลาประมาณ 2-4 เดือน ซึ่งยิ่งหมักนานก็จะได้ซีอิ๊วที่มีกลิ่นรสที่ดี ในระหว่างการหมักการจะมีการควบคุมอุณหภูมิระหว่างการของหมักให้อยู่ในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 3540 องศาเซลเซียส และต้องมีการกวนผสมเป็นระยะเพื่อให้จุลินทรีย์กระจายตัวได้ทั่วถึงและไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ออกไป ในระหว่างการหมักโมโรมินี้ยังมีแบคทีเรียในกลุ่มที่สร้างกรดแลคติก (Lactic acid bacteria) เช่น แลคโตบาซิลลัส เดลบรูกิอาย (Lactobacillus delbrueckii) และแบคทีเรียชอบความเค็ม (halophilic bacteria) เช่น เพ็ดดิโอค็อกคัส ซอยเย่ (Pediococcus soyae) และยีสต์ สร้างกรดโคจิ (koji acid) ทำให้เป็นซีอิ้วที่มีความเป็นกรดมี pH ลดลงเหลือประมาณ pH 3-4 ซึ่งจะช่วยป้องกันการเน่าเสียและยังยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ก่อโรค นอกจากนี้กรดโคจิที่สร้างขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเจริญของยีสต์ในระหว่างการหมักซึ่งย่อยน้ำตาลให้เป็นเอธิลอัลกอฮอล์ (ethyl alcohol) เมื่อหมักจนได้ที่แล้วเป็นช่วงของการบ่ม (aging) เพื่อพัฒนากลิ่นและรสชาติที่ทำให้เกิดการสร้างกลิ่นรสของซีอิ้วดีขึ้น เมื่อบ่มเสร็จแล้วจึงนำโมโรมิมาคั้นเพื่อแยกซีอิ้วดิบออกจากส่วนผสม นำซีอิ้วดิบมาแยกไขมันออก กรองแยกกากตะกอนออกแล้วปรับคุณภาพให้เหมาะสมกับชนิดของซีอิ้ว กากที่ได้แยกเอาของเหลวออกไปแล้วอาจเติมน้ำเกลือลงไปใหม่เพื่อให้เกิดการหมักครั้งที่ 2 ซึ่งจะได้ซีอิ้วที่มีคุณภาพต่ำกว่าครั้งแรก ซีอิ้วที่ได้นั้นจะเป็นซีอิ้วดิบที่มีจุลินทรีย์ปนอยู่ต้องนำมาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์โดยการต้มให้ความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 90-95 องศาเซลเซียส จากนั้นทิ้งให้เย็นแล้วนำมาเติมสารส้มหรือดินขาวเพื่อให้ซีอิ้วใส กรองกากตะกอนออกอีกครั้งแล้วทำการฆ่าเขื้อโดยการพาสเจอไรซ์ที่อุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียสซ้ำอีกครั้งหนึ่งก่อนนำผลิตภัณฑ์ไปบรรจุในภาชนะต่อไป ส่วนกากโมโรมิที่เหลือจากการกรองจะมีปริมาณโปรตีนสูงสามารถนำเอาไปเป็นแหล่งโปรตีนผสมในอาหารสัตว์
ส่วนการผลิตซีอิ้วอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้วิธีทางเคมี ซึ่งเป็นวิธีที่ลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการผลิตได้มากแต่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งทำได้โดยนำกากถั่วเหลืองมาย่อยด้วยกรดเกลือเข้มข้นที่อุณหภูมิน้ำเดือดเป็นเวลา 12-16 ชม. จนได้ปริมาณกรดอะมิโนตามที่ต้องการแล้วนำมาปรุงรสและแต่งกลิ่นให้หอมแล้วนำมาบ่มต่อในถังไม้อีกประมาณ 1 เดือนเพื่อให้คุณภาพดีขึ้นก่อนบรรจุขวดและจำหน่ายต่อไป
วัตถุดิบและหน้าที่ วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตซีอิ๊วมี 5 อย่างได้แก่
1. หัวเชื้อ จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการหมักทั้งหมดมี 3 ชนิด ได้แก่
หน้าที่
2. ถั่วเหลือง เป็นถั่วที่ใหม่ สะอาด และไม่มีการเข้าทำลายของแมลง
หน้าที่
3. แป้งสาลี การผลิตของไทยจะใช้แป้งสาลีหรือแป้งสาลีผสมกับแป้งข้าวเจ้าแต่ของต่างประเทศจะใช้แป้งสาลีบด
หน้าที่
4. เกลือ จะใช้ได้ทั้งเกลือทะเลและเกลือสินเธาว์ โดยทั่วไปนิยมใช้เกลือทะเล
หน้าที่
5. น้ำ
หน้าที่
ขั้นตอนการผลิต แบ่งออกเป็น 4 ช่วงได้แก่
ซีอิ้วที่ผลิตในประเทศไทยมี 4 ชนิด คือ
การผลิตซีอิ้วส่วนใหญ่เป็นกระบวนการผลิตซีอิ้วชนิดกอยกุชิ โดยมีการใช้ถั่วเหลืองและข้าวสาลีผสมกันอย่างละครึ่ง และใช้โคจิ (การเจริญของเชื้อราในธัญพืชใช้เป็นกล้าเชื้อหรือหัวเชื้อในการผลิตอาหารหมักพื้นเมืองต่างๆ) โดยจะใช้กล้าเชื้อหรือหัวเชื้อนี้ผสมลงไปในถั่วเหลืองและข้าวสาลีในอัตราประมาณ 0.1-0.2 % เมื่อผสมกันดีแล้วจะนำมาแผ่ในกระด้ง โดยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นซึ่งมีผลสำคัญในการผลิตโคจิ และควรที่จะมีการถ่ายเทของอากาศที่ผิวหน้าดีด้วย ปกติอุณหภูมิที่ใช้จะอยู่ในช่วง 25-35 OC บ่มไว้ 24 ชม. ถั่วเหลืองและข้าวสาลีจะถูกปกคลุมด้วยใยราสีขาว และบ่มต่ออีกเป็นเวลา 3 วัน เชื้อราจะปกคลุมทั่วส่วนผสมและสร้างสปอร์สีเหลืองปนเขียว ซึ่งจะเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า โคจิ เมื่อได้โคจิแล้วนำมาผสมกับน้ำเกลือเพื่อให้ได้โมโรมิ หลังจากเตรียมโมโรมิแล้วจะทิ้งไว้ให้เกิดการหมักขึ้น ซึ่งถ้าเป็นการหมักแบบธรรมชาติ ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิจะใช้เวลาในการหมัก 12-14 เดือน แต่ถ้ามีการควบคุมอุณหภูมิช่วง 35-40 OC ระยะเวลาในการหมักและการบ่มจะเหลือเพียง 2-4 เดือน โดยการหมักแบบนี้จะต้องมีการกวนในอัตราส่วนที่สัมพันธ์กับการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้ามีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดกลิ่นรสที่ไม่พึงปรารถนา แต่ถ้ามีการกวนให้อากาศมากเกินไปก็อาจจะยับยั้งกระบวนการหมักที่ต้องการได้
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการหมักและการบ่มแล้ว ซีอิ้วที่ได้จะถูกแยกออกมาจากโมโรมิ กากที่ได้แยกเอาของเหลวออกไปแล้วอาจเติมน้ำเกลือลงไปใหม่เพื่อให้เกิดการหมักครั้งที่ 2 ซึ่งจะมีคุณภาพต่ำกว่าครั้งแรก กากที่เหลือจะมีความชื้นมากนำเอาไปเป็นอาหารสัตว์ได้
ซีอิ้วที่ได้นั้นจะเป็นซีอิ้วดิบต้องนำมาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์โดยการพาสเจอไรซ์ที่อุณหภูมิ 70-80 OC ทิ้งให้เย็นแล้วนำมาเติมสารส้มหรือดินขาวเพื่อให้ซีอิ้วใส แล้วจึงนำมากรองแยกซีอิ้วออกมาบรรจุขวดและจำหน่ายต่อไป สีของซีอิ้วจะเข้มขึ้นเมื่อมีการเปิดขวดเพื่อใช้บริโภคเนื่องจากเกิดปฏิกิริยากับอากาศ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการสูญเสียกลิ่นรสเมื่อเมื่อสีของซีอิ้วเข้มขึ้นด้วย
การผลิตซีอิ้วอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้วิธีทางเคมี ซึ่งเป็นวิธีที่ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้มาก แต่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งทำได้โดยนำกากถั่วเหลืองและข้าวสาลีมาย่อยด้วยกรดเกลือที่เดือดเป็นเวลา 12-16 ชม. และเมื่อได้ปริมาณกรดอะมิโนที่ต้องการแล้วจะนำมาบ่มต่อในถังไม้และบรรจุขวดจำหน่ายต่อไป
วัตถุดิบและอุปกรณ์
เตรียมหัวเชื้อ / ส่าเชื้อรา
ทำซีอิ้ว
วิธีทำหัวเชื้อ / ส่าเชื้อรา
การทำซีอิ้ว
**เพิ่มเติม
สูตรการทำเต้าเจี้ยว
ส่วนผสม
วิธีทำ
คุณค่าทางโภชนาการของซีอิ๊ว
ซีอิ๊วมีถั่วเหลืองเป็นแหล่งของสารอาหารทั้งโปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามินที่สูง ฉะนั้นการนำถั่วเหลืองมาทำเป็นซีอิ๊ว สารอาหารโปรตีนก็ยังเป็นสารอาหารหลัก เพียงแต่ชนิดของโปรตีนจะอยู่ในลักษณะที่ถูกย่อยแล้วให้มีขนาดของโมเลกุลเล็กลง หรือปรากฏในรูปของ amino acid มากขึ้น อันเป็นผลจากการทำงานของ enzyme จาก จุลินทรีย์
ปริมาณของ amino acid เช่น glutamic จะเป็นตัวทำให้รสชาติของผลิตภัณฑ์น่าบริโภคมากขึ้น ขณะเดียวกันกับ fatty acid และน้ำตาลในถั่วเหลืองจะถูกย่อยสลายและเปลี่ยนแปลงเป็นสารให้กลิ่นหอม มีสีเหลืองทองหรือสีน้ำตาล ชวนให้น่าบริโภค ผลจากการที่มี enzyme จากจุลินทรีย์ผลิตขึ้นมาย่อยสารอาหารในถั่วเหลืองส่วนน้อยถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสี กลิ่น แล้วส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในรูปสารอาหารที่ถูกย่อยและดุดซึมได้ง่ายขึ้นป็นผลดีในด้านของโภชนาการ
ปัจจัยที่มีผลต่อคุณประโยชน์และความปลอดภัยของซีอิ๊ว
ซีอิ๊วเป็นสารชูรสเพื่อก่อให้เกิดการบริโภคอาหารโดยส่วนรวมเพิ่มมากขึ้น ซีอิ๊วมีรสเค็มทำให้การบริโภคมีน้อย ฉะนั้นซีอิ๊วถึงแม้จะมีปริมาณโปรตีนอยูสูงแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นแหล่งของโปรตีนหลักที่จะให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตามเนื่องจากซีอิ๊วเป็นสารที่ให้สี กลิ่นและรส นำมาทำให้การบริโภคอาหารได้ปริมาณเพิ่มขึ้นหรือก่อให้เกิดการอยากบริโภคมากขึ้นโดยที่ตัวซีอิ้วเองก็มีคุณค่าทางโภชนาการอยู่แล้วจึงทำให้เกิดความทสมบูรณ์ของการบริโภคอาหารหลักดีขึ้นด้วย
ซีอิ๊วมีปริมาณเกลืออยู่ด้วย เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้เป็นตัวจำกัดชนิดของจุลินทรีย์ที่ต้องการ ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นสารช่วยยืดอายุในการเก็บรักษาให้มีอายุการเก็บยาวนานขึ้นด้วย ลดปริมาณความร้อนที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อการเก็บรักษา ความจำเป็นที่ต้องมีการใช้เกลือเป็นสิ่งจำกัดต่อบุคคลที่จะบริโภคด้วย ในกรณีของบุคคลที่แพทย์ควบคุมปริมาณการบริโภคเกลือ เช่น คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในการผลิตซีอิ๊วจะเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพที่ดีของซีอิ๊ว ความปลอดภัยคือวามปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างในถั่ว ถั่วเหลืองหรือวัตถุดิบอื่น ๆ ที่น่าจะมาใช้งานควรที่จะผ่านขั้นตอนการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี และลดปริมาณของสารตกค้างที่ติดมาในรูปของยาฆ่าแมลงและสารอื่น ๆ ที่ปนเปื้อนมาในช่วงหลังการเก็บเกี่ยว
ความปลอดภัยจากจุลินทรีย์ เหตุที่ซีอิ๊วจะต้องมีการใช้จุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นในบางกรณีเมื่อสภาวะของการใช้เกลือไม่พอเหมาะการใช้ความร้อนไม่พอเหมาะ การดูแลเก็บรักษาไม่ดีพอ ทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์ปนเปื้อนลงไปและเจริญเติบโตได้ดี จุลินทรีย์บางตัวไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นแต่สามารถสร้างสารพิษที่ทนต่อสภาวะต่าง ๆ ได้ดีและส่งผลเสียแก่ผู้บริโภค
คุณสมบัติในทางเคมีของซีอิ๊ว
คุณสมบัติและองค์ประกอบของซีอิ๊วขึ้นอยู่กับ อัตราส่วนของถั่วเหลืองและแป้งข้าวสาลีที่ใช้ในการหมัก ในการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีระหว่างกระบวนการหมักเป็นการย่อยสลาย (degradation) ของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต โดยในตอนแรกจะเป็น lactic fermentation ต่อมาจึงเป็น alcoholic fermentation โดย yeast
สารอินทรีย์ที่พบในซีอิ๊วแบ่งได้ดังนี้
1. สารประกอบพวกไนโตรเจน (Nitrogen Compounds)
อยู่ในรูป amino 40-50% , ammonia 10-15%, peptide และ peptone 40-50%, amino acid อยู่ในรูป glutamic acid จะเป็นตัวบ่งบอกว่า ซีอิ๊วที่ได้จากการหมักมีระยะเวลาในกรหมักที่เหมาะสมและมีคุณภาพดีหรือไม่ กล่าวคือ ถ้ามี ปริมาณ glutamic acid มากแสดงว่าซีอิ๊วนั้นหมักได้นานและมีคุณภาพดี
2. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)
อยู่ในรูป glucose (0.75%), galactose (0.302-0.482%), arabinose (0.166-0.387), xylose(0.082-0.341%) นอกจากนั้นยังพบ maltose และ alcohสรc sugar อีกด้วย
3. กรดอินทรีย์ (Organic acid)
ที่สำคัญได้แก่ lactic acid, acetic acid, succinic acid, formic acid ทั้งนี้ lactic acid เป็นกรดที่มีปริมาณมากที่สุดและสำคัญมากกว่ากรดชนิดอื่น
4. Organic base
ที่สำคัญได้แก่ adenine, guanine, cytosine, uracil, hypoxanthine และ xanthine
นอกจากนี้แล้ว ยังมีสารที่ให้กลิ่นและรสชาติ
เอกสารอ้างอิง
ชูขวัญ ทรัพย์มณี. 2548. อร่อยกับเครื่องปรุงปลอดจีเอ็มโอเต้าเจี้ยว-ซีอิ้วที่แม่ริม. เกษตรกรรมธรรมชาติ.
ป้ายคำ : แปรรูปอาหาร