ธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด

ฤดูกาล​ที่แปรเปลี่ยนไปตามกลไก​ธรรมชาติ​ที่ปรับสมดุล​ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ถูกกระทำโดยน้ำมือมนุษย์​ โลกร้อนขึ้น​ อากาศ​แปรปรวน​…

น้ำเป็นปัจจัย​หลักหนึ่งในการทำการเกษตร​ บนพื้นฐานเกษตรยั่งยืนแล้ว​ในพื้นที่ใช้การปลูกต้นไม้ช่วยเก็บน้ำเป็นหลัก​ การเก็บน้ำลงดินในพื้นที่จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ

ธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของการทำธนาคารน้ำใต้ดินให้สมบูรณ์ เพราะธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดมีหน้าที่ในการเติมน้ำลงดิน โดยนำน้ำที่มีบนดินลงสู่ใต้ดินอย่างรวดเร็ว เพราะโดยทั่วไป น้ำที่อยู่บนผิวดินกว่าจะซึมซับลงในชั้นดินแต่ละชั้นต้องใช้เวลามาก เนื่องจากชั้นผิวดินมีอากาศแทรกอยู่ ทำให้การซึมซับน้ำลงดินได้ช้า

การทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด เป็นการเปิดช่องผิวดินเพื่อการเติมน้ำลงใต้ดินโดยตรงในระดับบนสุดของเปลือกโลกชั้นผิวดิน โดยน้ำที่เติมลงสู่ใต้ดินเป็นน้ำเหลือใช้และน้ำที่เกินจากความต้องการ เช่น น้ำฝน ที่ตกลงมาบนพื้นดินจำนวนมากเกินกว่าที่บ่อใช้รองรับน้ำฝนได้ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขัง หากสะสมนานจะกลายเป็นน้ำเสีย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือสุขภาพของผู้คนในชุมชน

หลักการทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด คือการเก็บน้ำไว้ใต้ดิน แต่ไม่ทะลุชั้นดินเหนียวลงไปสู่ชั้นหินอุ้มน้ำ โดยมีเป้าหมายสร้างความชุ่มชื้นให้กับดิน แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง ลดการไหลบ่าของน้ำ และแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย การเก็บน้ำด้วยวิธีนี้ จะไม่สามารถนำน้ำขึ้นมาใช้ได้โดยตรง แต่กรณีพื้นที่ใกล้เคียงกับระบบปิดนี้มีบ่อน้ำตื้นหรือบ่อน้ำซับ ความชุ่มชื้นของดินจะส่งผลทำให้น้ำในบ่อดังกล่าวมีปริมาณน้ำมากขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หรือในบางพื้นที่สามารถขุดบ่อน้ำตื้นได้ในระดับไม่เกิน 2-3 เมตร อาจจะมีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี

แนวคิดนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังและปัญหาขาดแคลนน้ำหรือสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่เกษตรกรรมได้อีกด้วย ปกติแล้วพื้นที่การเกษตรแต่ละปีมักจะมีฝนตกอยู่ 5-6 เดือน ในพื้นที่ 1 ไร่ จะรับน้ำฝนที่ตกลงมาได้ราว 2,500 ลูกบาศก์เมตร น้ำฝนที่ตกจากที่สูงไหลลงพื้นที่ต่ำ พื้นที่สูงจึงไม่สามารถเก็บกักน้ำได้ ขณะที่พื้นที่ต่ำกลายเป็นแหล่งรวมน้ำฝนจนเกิดปัญหาน้ำท่วมขัง การทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดในพื้นที่การเกษตรจึงช่วยเก็บน้ำส่วนเกินลงสู่ใต้ดิน นอกจากลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่การเกษตรอีกด้วย

ลงมือทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดในสวน

1. ขุดบ่อวงกลม​ ขนาดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และระดับน้ำท่วมขัง โดยมากมักมี ขนาดสัดส่วนกว้าง​ 1 เท่าและลึก​ 1.5​ เท่าของความกว้าง​ระเช่น​ ขุดบ่อเส้นผ่าศูนย์กลาง​ 60 เซน​ติเมตร ลึกประมาณ 1 เมตร​ พร้อมทั้งขุดตรงกลางเป็นสะดือลึก​ประมาณ​ 20​ เซนติเมตร


2. นำเศษวัสดุมาใส่ในบ่อแทนดินที่ขุดออกไป เช่น กรวดแม่น้ำ หิน ฯลฯ​ ซึ่งเป็นวัสดุแข็ง​ที่ไม่เป็นพิษต่อดินและน้ำ โดยใส่ในหลุมสะดือพอเต็มก่อน


3. ใส่ท่อ พีวีซี เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ตรงกลางบ่อให้ปลายด้านบนสูงพ้นระยะน้ำท่วมถึง​ เพื่อเป็นท่อระบายอากาศ​ แล้วจึงนำวัสดุแข็งใส่จนจะเต็มบ่อ


4. การใส่วัสดุควรเว้นระยะขอบบ่อไว้ราว 30-50 เซนติเมตร ใส่ตาข่าย​ตาถี่​วางบนปากหลุม​ เพื่อป้องกันการอุดตัน​ หลังจากนั้นใช้ทรายและหินกรวดกลบปิดปากบ่อ ให้น้ำไหลลงไป​และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ด้านบนบ่อได้ตามปกติ วิธีนี้ไม่สามารถสูบน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้ได้ น้ำที่ถูกเก็บลงสู่ชั้นใต้ดินจะเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดิน


การเติมน้ำลงดินในสวน​ อาจจะขุดบ่อทุกๆ​ 50-100​เมตร​ ตามปริมาณ​การไหลของน้ำ​และความลาดเอียงของพื้นที่

เมื่อเรานำน้ำใต้ดินมาใช้​ ก็ควรเติมน้ำลงดิน​ เพื่อความสมดุลของการใช้งาน​ และความยั่งยืนของธรรมชาติ​

ป้ายคำ :

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด น้ำ

แสดงความคิดเห็น