ธีรพันธุ์ บุญบาง เริ่มต้นการพัฒนาตนเองด้วยการนำตัวชี้วัดมาตรฐานงานชุมชน ระดับบุคคล มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง พร้อม ๆ กับส่งเสริมให้ผู้นำในชุมชนได้ใช้แนวทางนี้พัฒนาตนเองด้วย ทำให้กระบวนการทำงานในบ้านเนินน้ำเย็น ของธีรพันธุ์ บุญบางมีพลังเพื่อจัดการกับปัญหาของชุมชนได้
ธีรพันธุ์ บุญบาง แสดงทัศนะไว้ว่า ” ความสำเร็จของการทำงาน ขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นหลัก ผู้เป็นผู้นำจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำงานให้สำเร็จได้ และต้องเชื่อมั่นต่อเพื่อนร่วมงานรวมทั้งคนในชุมชนว่าพวกเขามีความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จได้ เหนืออื่นใดเราจะต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่องานที่ทำว่าสามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ ขณะเดียวกันผู้นำจะต้องมีความรู้ในงานที่ทำอย่างถ่องแท้ รวมทั้งต้องมีคุณธรรมเป็นเครื่องกำกับด้วย ”
ธีรพันธุ์ บุญบาง เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 6 คน ของนายแหวน บุญบาง (อดีตกำนันตำบลหนองบัว) กับนางคำ บุญบาง ศึกษาจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนโพฒิสารศึกษา อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ (การปกครอง) ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เริ่มต้นชีวิตการเป็นผู้นำด้วยการเป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่ปี 2530 ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 1 ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ สมรสกับนางกาญจนา บุญบาง มีบุตร,ธิดา รวม 3 คน โทรศัพท์ 056-251252 และ 086 – 2034703
เบ้าหลอมนักปกครอง / นักพัฒนา
นับแต่เยาว์วัยจวบจนวัยหนุ่ม ธีรพันธุ์ บุญบาง ได้เรียนรู้และซึมซับความเป็นนักปกครองและนักพัฒนาจากกำนันแหวน บุญบาง ผู้เป็นบิดาไว้อย่างแนบแน่น
จิตวิญญาณของนักปกครองและนักพัฒนาได้ปลุกเร้าความสำนึกของธีรพันธุ์ บุญบาง อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2530 ธีรพันธุ์ บุญบาง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
ระหว่างการเป็นผู้ใหญ่บ้านธีรพันธุ์ บุญบาง ได้ริเริ่มนำผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้านที่มีอยู่จำนวน 13 ราย มาทำการบำบัดรักษาในลักษณะของ ” ธรรมบำบัด ” ผลงานครั้งนั้นทำให้อำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดนครสวรรค์ส่งผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษากับธีรพันธุ์ บุญบาง เป็นจำนวนถึง 8 รุ่น ๆ ละ 120 คน
บ้านเนินน้ำเย็น หมู่ที่ 1 ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ในความปกครองดูแลของ ธีรพันธุ์ บุญบางมีจำนวนครัวเรือนถึง 323 ครัวเรือน ประชากร จำนวน 1850 คน อาชีพส่วนใหญ่ทำนา และทำสวน ธีรพันธ์ บุญบาง และคณะกรรมการหมู่บ้านได้แบ่งการปกครองออกเป็น 22 คุ้ม คณะกรรมการหมู่บ้านของธีรพันธ์ บุญบาง พบว่าประชากรส่วนใหญ่ขาดการศึกษา ไม่มีความรู้ในการบริหารจัดการระบบต้นทุนในการประกอบอาชีพ ทำให้ฐานะยากจนมีผู้ตกเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐานเรื่องรายได้เป็นจำนวนมากกว่า 100 ครัวเรือน ธีรพันธ์ บุญบาง และคณะกรรมการหมู่บ้านได้นำระบบการจัดทำบัญชีครัวเรือนมาใช้ทุกครัวเรือน มีการวิเคราะห์รายรับ รายจ่าย ของครัวเรือนและชุมชน บ้านเนินน้ำเย็นของ ธีรพันธ์ บุญบาง จึงได้รับการคัดเลือกเป็นหมู่บ้านต้นแบบการจัดทำบัญชีครัวเรือนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
หนึ่งงานพอเพียง
ผลการทำงานของ ธีรพันธ์ บุญบางทั้งด้านการปกครองและการพัฒนา ส่งผลดีต่อประชากรของบ้านเนินน้ำเย็นเป็นอย่างมาก ทำให้ธีรพันธ์ บุญบาง ได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีพุทธศักราช 2546 ธีรพันธ์ บุญบาง ได้รับรางวัลผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยมแหนบทองคำ จากกระทรวงมหาดไทย ขณะเดียวกันธีรพันธ์ บุญบาง ซึ่งเชื่อมั่น และศรัทธาต่อแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้น้อมนำแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ปฏิบัติในครอบครัว ด้วยการนำหลักการพอประมาณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปฏิบัติในพื้นที่ 1 งาน ด้วยการดำนาปลูกข้าว เลี้ยงปลาดุกและเลี้ยงกบไปพร้อม ๆ กัน ธีรพันธ์ บุญบาง ค้นพบว่าพื้นที่ 1 งาน สามารถผลิตข้าวเปลือกได้ถึง 27 ถัง ปลาดุก 190 กิโลกรัม กบ 235 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 3 เดือน คิดเป็นรายได้ 29,600 บาท ในรอบระยะเวลา 1 ปี สามารถทำรายได้เช่นนี้ได้ 3 ครั้ง จึงทำให้ 1 ปี มีรายได้ถึง 88,800 บาท
นอกจากนี้ยังพบว่าแมลงและวัชพืชที่เกิดในนาสามารถเป็นอาหารของกบและปลาได้ด้วย ขณะเดียวกันขี้ปลา ขี้กบ ยังเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นข้าวได้เป็นอย่างดี กระบวนการในพื้นที่นา 1 งานของธีรพันธุ์ จึงเป็นกระบวนการที่มีทั้งความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้นกัน ไปในตัว รายได้จากการใช้พื้นที่นา 1 งานทำให้ครอบครัวของธีรพันธุ์มีรายได้อย่างเพียงพอ
จาก 1 งานพอเพียงสู่ 1 ไร่หล่อเลี้ยงครอบครัว
จากพื้นที่เพียง 1 งาน ธีรพันธุ์ ได้ขยายพื้นที่เป็น 1 ไร่ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ๆ ละ 1 งาน มีการจัดระบบน้ำ พืช และสัตว์ ให้สามารถเกื้อกูลและสนับสนุนกันได้ โดยในส่วนที่ 1 ธีรพันธุ์ ใช้พื้นที่สร้างคอกหมู คอกไก่ และทำนาบัว โดยให้คอกหมู คอกไก่ อยู่ในพื้นที่สูง และระบายมูลสัตว์จากคอกลงสู่นาบัว ที่เลี้ยงปลาดุกและกบไว้ด้วย พื้นที่ในส่วนนี้ธีรพันธุ์ มีรายได้จากการขายดอกบัว ปลาดุก กบ หมู และไก่ รวมทั้งมีการปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบนาบัวด้วย
ในส่วนที่ 2 เป็นพื้นที่ทำนาปลูกข้าว เลี้ยงปลาดุก และเลี้ยงกบ พื้นที่ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่ราบต่ำเพื่อระบายน้ำจากพื้นที่ส่วนที่ 1 ลงสู่พื้นที่นี้
ในส่วนที่ 3 เป็นพื้นที่ใช้เพาะต้นกล้าเพื่อนำไปดำนา รวมทั้งมีร่องน้ำเลี้ยงปลาดุก ปลูกพืชผักสวนครัวทั้งชะอม ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพราและโหระพา
ในส่วนที่ 4 เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ธีรพันธุ์ใช้พื้นที่ส่วนนี้ปลูกบ้านพักอาศัยขนาดพออยู่อาศัย ใต้ถุนบ้านมีบ่อเลี้ยงกบ ปลาดุก และเลี้ยงเป็ดไข่ไว้ด้วย
ระหว่างพื้นที่ทั้ง 4 ส่วน ธีรพันธุ์ บุญบาง จัดระบบทางเดินให้เชื่อมต่อกัน ธีรพันธุ์ ปลูกพืชผักสวนครัว และตู้เย็นกลางแจ้งไว้ตลอดแนวทางเดิน มีการจัดระบบน้ำให้สามารถถ่ายเททั้ง 4 ส่วน ในลักษณะลาดชันแบบขั้นบันได
สำหรับแปลงสาธิตเกษตร 1 ไร่ แก้จนมีองค์ประกอบตามแนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง คือ แบ่งเป็นพื้นที่น้ำ 30 เปอร์เซ็นต์ ข้าว 30 เปอร์เซ็นต์ พืชไร่หรืออาชีพเสริม 30 เปอร์เซ็นต์ และที่อยู่อาศัย 10 เปอร์เซ็นต์และมีที่สำคัญคือ ต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่ภายใน 1 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ภายในบ่อกบก็เลี้ยงปลาดุกไปด้วย เลือกขนาดเดียวกันเมื่อถึงเวลานำไปขาย ก็จะได้รายได้จากทั้งกบและปลา เป็นต้น อีกอย่างคือต้องคำนึงถึงวงจรที่จะใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ครูธีรพันธุ์ยกตัวอย่างวงจรของแปลงสาธิตแห่งนี้ให้ฟังว่า ภายใน 1 ไร่แก้จนมีทั้งเลี้ยงไก่ เป็ด ปลาดุก กบ หมู ทำนาข้าวและนาบัว ซึ่งทุกอย่างสามารถเอื้อประโยชน์ต่อกันได้ เช่น การเลี้ยงหมู นอกจากจะขายตัวหมูแล้ว ขี้หมู สามารถนำไปผลิตแก๊สหุงต้มได้ และกากที่เหลือก็จะนำไปเป็นปุ๋ยหมักไว้ใช้รดข้าว รกผัด หรือเป็นอาหารของปลาดุกได้ ส่วนเป็ดก็สามารถกินแหนแดงที่ปลูกไว้ในนาบัว ลดต้นทุนการซื้อหัวอาหารได้อีกด้วย เป็นต้น และที่สำคัญที่สุด ภายในแปลงสาธิตครูธีรพันธุ์ได้นำต้นทุนอาชีพไปแสดงให้ดูประกอบอีกด้วยเพื่อ ให้เกษตรกรที่เข้าไปเรียนรู้การทำเกษตรจะได้เข้าใจการบันทึกบัญชีควบคู่กัน ไป
ป้ายคำ : เศรษฐกิจพอเพียง