เมล็ดงามีประโยชน์ ประกอบด้วยน้ำมันระหว่าง 46.4 52.0% มีโปรตีน 19.8 24.2% ซึ่งมีสัดส่วนดี จึงเป็นอาหารที่ดี มีสารมีไธโอนีนและทริพโทแฟ็นสูง มีแคลเซี่ยม โปรแตสเซี่ยมฟอสฟอรัส วิตามินบี และเหล็ก น้ำมันงาที่ดีได้มาจากการหีบโดยไม่ใช้ความร้อน (cold pressed) น้ำมันงาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมัน และไม่มีสารเคมีตกค้าง
สารอาหารเด่นๆ ในน้ำมันงาคือ กรดไขมันจำเป็นและวิตามินอี ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
กรดไขมันโอเมก้า – 6 และ โอเมก้า – 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องรับประทานเข้าไป โดยกรดไขมันดังกล่าวมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น
ส่วน วิตามินอี ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่า วิตามินอีเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้ไขมันในเซลล์และในผิวหนังทำปฏิกริยากับฟรีแรดิคัล จึงทำให้ผิวคงความชุ่มชื่น มีความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ และไม่แก่ก่อนวัยอันควร
เรียกว่ากินน้ำมันงาได้ทั้งป้องกันโรคและป้องกันความชราได้ในคำเดียวกัน
วิธีนำน้ำมันงามาปรุงอาหารให้อร่อยมีอะไรบ้าง เรามีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ
น้ำมันงาในท้องตลาดจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
น้ำมันงาที่หีบโดยวิธีไม่ใช้ความร้อนจะมีสีเหลืองใสออกเขียวเล็กน้อย และมีกลิ่นอ่อน ไม่ควรใช้กินมากกว่า 10% ของจำนวนแคลอรี่ต่อวันหนึ่งๆ หากมีอาการแพ้ควรงดใช้ เช่นเดียวกับอาหารและน้ำมันอื่นๆ
การบีบน้ำมันงานั้นทำได้สองอย่างคือ การบีบงาดิบ กับ การบีบงาสุก การบีบงาดิบคือ การบีบเมล็ดงาที่ดิบ ๆ ยังไม่ต้องนำไปคั่วจะได้น้ำมันงาดิบสีเหลืองใสอมเขียวที่มีคุณภาพดีกว่าน้ำมันงาสุก สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ใช้ในการปรุงอาหารเหมือนน้ำมันพืชอื่น ๆ ใช้ในการนวดตัว ใช้ในการดูแลผิวพรรณและเส้นผม รวมทั้งนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น สบู่ เป็นต้น
ส่วนน้ำมันงาสุก เป็นการบีบเมล็ดงาที่คั่วสุกก่อนจึงนำมาบีบจะได้น้ำมันงาสุกที่มีสีน้ำตาลแดง มีกลิ่นหอมแรงกว่าน้ำมันงาดิบ น้ำมันงาสุกนี้มักจะใช้ในการเป็นเครื่องปรุงอาหาร เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติให้แก่อาหาร
การบีบน้ำมันงาในสมัยโบราณของชาวอัฟริกันและชาวอินเดียเขาจะทำโดยนำเมล็ดงาไปตำในครกไม้ เมื่อเมล็ดงาแตกดีแล้วก็จะใช้น้ำร้อนลงไปล้าง แล้วเอาใส่ภาชนะทิ้งไว้ให้น้ำมันลอยตัวขึ้น จึงค่อยแยกเอาน้ำมันมาใช้ซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีการอีดงาของชาวไทยใหญ่ ที่ใช้ครกขนาดใหญ่บีบสกัดน้ำมันงา ปัจจุบันมีการใช้เครื่องสกัดแบบสกรูเพลส(Screw press) และแบบไฮโดรลิกเพลส (hydraulic press)
ในการผลิตน้ำมันงาในเชิงการค้าบางครั้งผู้ผลิตจะนำเมล็ดงาไปผ่านกระบวนการขัดล้างเปลือกออกก่อน โดยไปแช่สารละลายด่าง เช่น แช่ในสารละลายโซเดียมคาร์บอเนต โซเดียมไบคาร์บอเนต โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) แต่การผลิตน้ำมันงาแบบอินทรีย์หรือแบบธรรมชาติไม่แนะนำให้นำเมล็ดงาไปผ่าน
อุปกรณ์
กระบวนการใด ๆ ควรใช้เมล็ดงาดิบ ๆ ที่ไม่ผ่านความร้อน แล้วใช้วิธีบีบน้ำมันงาออกมาหรือที่เรียกว่า กระบวนการบีบเย็น (First Cold Press Process) จะได้น้ำมันงาดิบบริสุทธิ์ที่มีคุณภาพดี
เราเองสามารถบีบหรือสกัดน้ำมันงาใช้เองได้ โดยประยุกต์วิธีดั้งเดิม คือตำหรือบดเมล็ดงาดิบ จะใช้งาดำหรืองาขาวก็ได้ ตำหรือบดเมล็ดงาในครก โดยเติมน้ำร้อน ระหว่างการบดจะช่วยให้ได้น้ำมันงา วิธีการนี้เลียนแบบวิธีการอีดงาของชาวบ้านในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งทำให้เราสามารถบีบน้ำมันงาดิบได้ในครัวเรือน แต่ต้องลงแรงและใช้เวลาสักหน่อย นอกเสียจากจะไปหาเครื่องบีบเมล็ดงามาใช้ก็จะช่วยทุ่นแรงและได้น้ำมันทีละมากขึ้น
วิธีทำ
ในการตำหรือบดน้ำมันงานี้จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงจะได้น้ำมันงาเก็บใส่ภาชนะหรือขวดสีชาหรือสีเขียว ที่มีฝาปิดมิดชิด
น้ำมันงาจะเป็นทั้งอาหารและยาได้ก็ต่อเมื่อปรุงเป็นเมนูสุขภาพและใช้อย่างพอเหมาะพอดี
เคล็ดลับกินน้ำมันงา
ที่มา :
นิตสารชีวจิต ฉบับ 304 มิถุนายน 2554
คมสัน หุตะแพทย์/กำพล กาหลง
ป้ายคำ : แปรรูปอาหาร