ไม้มะค่า เมื่อก่อนมีอยู่มากในป่าเมืองไทย ที่ผ่านมามีการตัดไม้มะค่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยกันเป็นจำนวนมาก ไม้มะค่าเป็นไม้ที่มีลำต้นขนาดใหญ่ จึงนิยมนำมาทำไม้พื้น ซึ่งจะได้แผ่นไม้พื้นที่มีขนาดใหญ่มาก รวมไปถึงการใช้ไม้มะค่าทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น เก้าอี้ไม้มะค่า โต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่โดยไม่มีการต่อไม้มะค่า ปัจจุบันการใช้ไม้มะค่าแผ่นใหญ่ทำเฟอร์นิเจอร์เริ่มลดลง เพราะการปลูกต้นมะค่าทดแทนให้มีขนาดใหญ่พอนั้น ต้องใช้เวลานานมาก ไม้ที่ได้รับความนิยมสำหรับการนำมาใช้งานรองจากไม้สักและไม้แดงก็คือไม้มะค่า เพราะเนื้อไม้มะค่าจะมีสีออกเหลืองอ่อนๆไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม เมื่อทำการขัดชักเงาจะให้สีของไม้ที่ออกมาสวยงามมาก อีกทั้งยังมีลวดลายปุ่มมะค่าที่สวยงามอีกด้วย นอกจากความสวยงามของสี ลวดลายและเนื้อไม้ ไม้มะค่าจัดได้ว่าเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานมาก สามารถใช้เป็นส่วนประกอบโครงสร้างต่างๆของงานไม้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งได้ดี ส่วนหนึ่งของไม้มะค่าจะนิยมนำมาทำเครื่องดนตรี เช่น กลอง โทน จะเข้ และอื่นๆ ยางของไม้มะค่ายังสามารถใช้ในการฟอกหนังได้อีกด้วย
ชื่อสามัญ: มะค่าโมง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib.
ชื่อวงศ์: LEGUMINOSAE.
ชื่ออื่น เขง เบง (เขมร-สุรินทร์), บิง (ชอง-จันทบุรี), ปิ้น (ชาวบน-นครราชสีมา), มะค่าโมง มะค่าใหญ่ (ภาคกลาง), มะค่าหลวง มะค่าหัวคำ (ภาคเหนือ)
ลักษณะพืช
มะค่าโมงเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ มีความสูงระหว่าง 15-20 เมตร แตกกิ่งต่ำเรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง ตามลำต้นมักเป็นครีบและมักจะมีปุ่มปมตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ เข้าใจว่าปุ่มนี้เกิดจากเซลล์มะเร็งที่ทำให้เกิดการพัฒนาผิดไป เปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือชมพูอมน้ำตาม หรือสีเทา มีรูระบายอากาศกระจัดกระจาย กระพี้สีขาว หรือขาวอมเหลือง กิ่งอ่อนมีขนคลุมบาง ๆ
ฐานอยู่นิเวศวิทยา ขึ้นในป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดิบแล้งใกล้แหล่งน้ำ ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ สูงจากระดับน้ำทะเล 100 -600 เมตร ออกดอก กุมภาพันธ์ – มีนาคม ฝักแก่ มิถุนายน – สิงหาคม ประโยชน์ เนื้อไม้สีน้ำตาลอมเหลืองอ่อน แข็งเหนียว ทนทานขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเสา รอด ตง พื้น ไม้เครื่องบน ต่อเรือ เครื่องกลึง พานท้ายปืนและรางปืน ทำกลองโทน รำมะนา เป็นไม้ที่ให้ปุ่มมะค่ามีลวดลายสวยงามและราคาสูง เปลือกทำน้ำฝาดสำหรับฟอกหนัง เมล็ดอ่อนเนื้อในรับประทานได้
มะค่าโมงเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบ มีความสูงระหว่าง 15-20 เมตร แตกกิ่งต่ำเรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง ตามลำต้นมักเป็นครีบและมักจะมีปุ่มปมตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ เข้าใจว่าปุ่มนี้เกิดจากเซลล์มะเร็งที่ทำให้เกิดการพัฒนาผิดไป เปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือชมพูอมน้ำตาม หรือสีเทา มีรูระบายอากาศกระจัดกระจาย กระพี้สีขาว หรือขาวอมเหลือง กิ่งอ่อนมีขนคลุมบาง ๆ
ลักษณะเนื้อไม้ แก่นสีน้ำตาลอมเหลืองอ่อนถึงเหลืองแก่ เสี้ยนค่อนข้างสน เนื้อหยาบมีริ้วแทรก แข็ง เหนียว แข็งแรง และทนทาน เลื่อยค่อนข้างยาก ถ้าแห้งแล้วตบแต่งง่าย ขัดและชักเงาได้ดี ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.85
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์ที่นิยมและสะดวกที่สุด มักจะขยายพันธุ์จากเมล็ด ซึ่งได้จากฝักแก่ ที่มีสีน้ำตาลแก่เกือบดำ ฝักเมื่อแก่จะแตกออก วิธีการเก็บเมล็ดมาเพาะกล้า เก็บฝักโดยการเป็นต้นแล้วลิดกิ่งที่มีฝักแก่แล้วนำมาตากแดด ช่วงเวลาเก็บเมล็ด มกราคม-มีนาคม
วิธีปฏิบัติต่อเมล็ด เมล็ดมะค่าโมงมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่แข็งมาก จึงควรสับเปลือกเมล็ดตรงส่วนหัวให้เห็นเนื้อด้านในเล็กน้อย แล้วจึงนำไปแช่น้ำ 1 คืน จากนั้นจึงนำไปหว่านลงในแปลงเพาะชำซึ่งเป็นดินปนทราย หรือเพาะลงในถุงพลาสติกซึ่งบรรจุดินในอัตราส่วน 1:1 โดยหว่านเมล็ดให้ห่างกันประมาณ 2-3 ซม. เสร็จแล้วโรยทรายละเอียดกลบเมล็ด โดยให้มีความหนาประมาณ 0.5-1.00 ซม. การให้น้ำในแปลงเพาะนั้นในระยะแรกควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) และควรผสมยาป้องกันเชื้อราด้วย อัตราการงอกประมาณ 95-100% จากนั้นประมาณ 7-10 วัน เมล็ดก็จะงอก ทำการย้ายชำลงถุงพลาสติก นำกล้าไม้ไปเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำพรางแสงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นระยะเวลา 3-4 เดือน ก่อนทำการย้ายปลูก ก่อนการปลูกจำเป็นต้องทำให้กล้าไม้แข็งแรงแกร่งเสียก่อน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
โดยทั่วไปในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะทำการปลูกมะค่าโมงควรปลูกในพื้นที่ราบ หรือมีความลาดชันน้อย ไม่เป็นที่ลุ่มน้ำขังเมื่อฝนตก ดินลึกค่อนข้างชื้น มีความอุดมสมบูรณ์ดี ปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสูง ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4×4 เมตร ซึ่งจะให้ผลตอบแทนในด้านปริมาตร เนื้อไม้ต่อพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น อีกทั้งรูปทรงของต้นไม้จะมีลักษณะที่มีความเรียวเหมาะสมที่จะทำเป็นการค้าได้ และหากมีการปลูกผสมกับไม้ยืนต้นชนิดอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นไม้โตเร็วหรือโตช้าก็ได้ ก็จะทำให้การใช้ประโยชน์จากไม้ที่ผลิตได้จากพื้นที่นั้นมีความหลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางที่จะช่วยลดความรุนแรงของการระบาดของโรคและแมลงได้ ในช่วงแรกของการปลูกควรมีร่มเงา
หลังจากปลูกกล้าได้แล้วประมาณ 1 เดือน ควรเริ่มทำการถางหญ้าและพรวนโคนต้นไม้ โดยในช่วงปีแรกควรทำประมาณ 2-3 ครั้ง นอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยเสริมโดยให้พิจารณาจากความอุดมสมบูรณ์ของดิน และใส่ในช่วงต้นฝน และทำแนวกันไฟเนื่องจากมะค่าโม่งไม่ทนไฟ หากถูกไฟครอกจะตายได้ง่าย หากพบว่ากิ่งมะค่าโมงที่เกิดขึ้นนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้รูปทรงต้นเสียไปให้ทำการลิดกิ่ง และเมื่อต้นไม้มีอัตราการเจริญเติบโตลดลง ให้ทำการตัดสางขยายระยะต้นไม้ออกส่วนหนึ่งซึ่งควรตัดออกตามความจำเป็น
ไม้มะค่าโมงเมื่ออายุครบ 1 ปี ไม้ที่ปลูกภายใต้แสง 40 เปอร์เซ็นต์ จะมีการเจริญเติบโตดีที่สุด มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 2.50 เมตร
การใช้ประโยชน์
ป้ายคำ : ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง