มะปราง ผลไม้ผลสีเหลืองส้ม

18 มีนาคม 2558 ไม้ผล 0

มะปรางผลไม้ที่มีลูกสีเหลืองส้ม ผิวเปล่งปลั่งน่ากิน ทั้งยังมีความกรอบ หวานและอร่อย มะปรางเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน C ช่วยรักษาความเสื่อมโทรมของร่างกาย มีสรรพคุณในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว และวิตามิน C ทำให้ห่างไกลจากโรคเลือดออกตามไรฟัน สีที่เหลืองของมะปรางเป็นแหล่งสะสมของเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนไปเป็นวิตามิน A บำรุงสายตา และผิวให้มีสุขภาพดีเสมอ รากของมะปรางนับเป็นยาระบายความร้อนได้ดี เพราะว่ามีสรรพคุณเย็นจึงช่วยลดและแก้พิษไข้ได้ดีมาก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bouea macrophylla Griffith
ชื่อสามัญ : Marian Plum , Plum Mango
วงศ์ : Anacardiaceae
ชื่ออื่น : บักปราง (ภาคอีสาน), มะผาง (ภาคเหนือ), ปราง (ภาคใต้)

ในพืชตระกูลมะปราง ปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น มะปรางหวาน, มะปรางเปรี้ยว, มะยงชิด, มะยงห่าง, กาวาง
มะปรางหวาน ผลดิบและผลสุกจะมีรสชาติหวานสนิท ผลมีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ความหวานก็จะแตกต่างกันออกไป จะหวานมากหรือน้อยเท่านั้น แต่เมื่อรับประทานแล้วอาจไอไอระคายคอหรือคันคอได้ถ้าหวานสนิท
มะปรางเปรี้ยว จะมีรสเปรี้ยวทั้งผลดิบและผลสุก ขนาดก็ทั้งผลเล็กและผลใหญ่ มะปรางเปรี้ยว จะเหมาะสำหรับการนำไปแปรรูปมากกว่าที่จะรับประทานสดๆ เช่น มะปรางดอง มะปรางแช่อิ่ม น้ำมะปราง ฯลฯ
มะยงชิด เป็นมะปรางที่มีรสหวานอมเปรี้ยว หรือมีรสหวานและเปรี้ยวอยู่ในผลเดียวกัน ขนาดก็มีทั้งผลเล็กและผลใหญ่ โดยมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มะยงชิดจะมีรสชาติหวานมากกว่าเปรี้ยว ผลดิบจะมีรสมัน ส่วนผลสุกจึงจะออกหวาน ลักษณะของเนื้อค่อนข้างแข็ง มีเปลือกหนา (แต่ถ้ารสเปรี้ยวมากกว่าหวาน เราจะเรียกว่า มะยงห่าง)
มะยงห่าง ลักษณะภายนอกจะคล้ายกับมะยงชิดมาก แต่ที่ต่างกันก็คือรสชาติ โดยมะยงห่างจะมีรสเปรี้ยวมากและมีรสหวานอยู่บ้างเล็กน้อย แต่มะยงห่างจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมปลูกเพื่อการค้าสักเท่าไหร่
กาวาง ลักษณะภายนอกจะคล้ายมะยงชิดและมะยงห่าง แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือจะมีรสเปรี้ยวใกล้เคียงกับมะดัน โดยที่มาของชื่อกาวางนั้นมีเรื่องเล่าว่า มีนกกาที่หิวโซ บินมาเห็นผลไม้ชนิดนี้มีสีเหลืองสวยงาม แต่เมื่อลองจิกกินเพื่อลิ้มรสชาติก็ต้องรีบวางแล้วบินหนีไปทันที จึงเป็นที่มาของชื่อ กาวาง

maprangpolmaprangsoog maprangs

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น มีทรงต้นค่อนข้างแหลม มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบต้นโต มีขนาดสูง 15-30 เซนติเมตร มีรากแก้วแข็งแรง

  • ใบ มะปรางเป็นไม้ผลที่มีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลี่ยกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปีหนึ่งมะปรางจะแตกใบอ่อน 1-3 ครั้ง
  • ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นช่อ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ดอกบานจะมีสีเหลือง ในไทยออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
  • ผล มีลักษณะทรงกลมรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนึ่งมีผล 1-15 ผล ผลดิบมีสีเขียวอ่อน-เขียวเข้มตามอายุของผล ผลสุกมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เปลือกผลนิ่ม เนื้อสีเหลืองแดงส้มออกแดงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ รสชาติหวาน-อมหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยว-เปรี้ยวจัด
  • เมล็ด มะปรางผลหนึ่งจะมี 1 เมล็ด ส่วนผิวของกะลาเมล็ดมีลักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพูอมม่วง รสขมฝาดและขม ลักษณะเมล็ดคล้ายเมล็ดมะม่วง หนึ่งเมล็ดเพาะกล้าได้ 1 ต้น

maprangdoks maprangdokban maprangbai maprangpoldib

มะยงชิด กับ มะปราง ต่างกันอย่างไร
มะปรางโดยรวมแล้วขนาดของผลจะเล็กกว่ามะยงชิด
มะปรางบางสายพันธุ์รับประทานแล้วอาจคันหรือระคายคอ แต่มะยงชิดเมื่อรับประทานแล้วจะไม่มีอาการดังกล่าว
มะปรางผลดิบจะมีสีเขียวออกซีด แต่มะยงชิดผลดิบจะมีสีเขียวจัดกว่ามะปราง
มะปรางผลสุกมีสีเหลืองอ่อน แต่มะยงชิดจะมีสีเหลืองแกมส้ม
มะปรางผลดิบมีรสมัน แต่มะยงชิดผลดิบรสจะเปรี้ยวจัด
มะปรางผลสุกมีรสหวานมาก แต่มะยงชิดผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว

maprangdok maprangpon

คุณค่าทางโภชนาการของมะปราง ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 47 กิโลแคลอรีลูกมะปราง
  • โปรตีน 0.4 กรัม
  • เส้นใย 1.5 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 11.3 กรัม
  • เบต้าแคโรทีน 230 ไมโครกรีม
  • วิตามินบี1 0.11 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี3 0.5 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 100 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 9 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม

ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ น้ำจากต้น

สรรพคุณ

  • ราก – แก้ไข้กลับ ถอนพิษสำแดง
  • ใบ – ยาพอกแก้ปวดศีรษะ
  • น้ำจากต้น – ยาอมกลั้วคอ

สีกากีอมเหลืองจากใบมะปราง
นำใบมะปรางมาทุบหรือตำแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง และนำแก่นขนุนแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นให้นำน้ำที่แช่ใบมะปรางและแก่นต้นขนุนไปต้มให้เดือด ประมาณ 1 ชั่วโมง กรองกากออกเอาเฉพาะส่วนของน้ำสี หลังจากนั้นนำฝ้ายหรือไหมลงต้มย้อมในน้ำสีประมาณ 20-40 นาที แล้วแช่ทิ้งไว้อีก 1 คืน จึงนำไปต้มต่ออีกครั้ง ใส่น้ำปูนขาวและสารส้มลงไปเล็กน้อยและต้มต่ออีกประมาณ 20 นาที จึงนำไปซักด้วยน้ำสะอาดจนสีไม่ตก นำขึ้นบิดพอหมาด กระตุกเส้นด้ายให้เรียงตัวกัน แล้วตากในที่ร่มให้แห้ง

maprangton

ประโยชน์ของมะปราง

  • มะปรางเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนสูง
  • ประโยชน์มะปรางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
    ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน เป็นต้น
  • มะปรางมีวิตามินสูงจึงช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้เป็นอย่างดี
  • มะปรางมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสจึงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
  • ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • มะปรางช่วยฟอกโลหิต
  • มะปราง ช่วยแก้เสลดทางวัว
  • มะปราง ช่วยแก้น้ำลายเหนียว
  • รากมะปราง ช่วยแก้อาการไข้กลับ ถอนพิษสำแดง
  • ใบมะปราง ใช้ทำเป็นยาพอกแก้อาการปวดศีรษะ
  • น้ำจากต้นใช้เป็นยาอมกลั้วคอ
  • ผลสุกมะปราง ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือใช้ทำน้ำผลไม้ ทำแยม นำไปกวน ส่วนผลดิบใช้จิ้มน้ำปลาวาน กะปิหวาน หรือนำไปใช้ดองและแช่อิ่ม
  • มะปรางเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนธาตุดิน หรือผู้ที่เกิดในราศีพฤษภ ราศีกันย์ ราศีมังกร และผู้เกิดตามธาตุนี้ มักจะเสี่ยงกับโรคความอ้วน ความดัน เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ ซึ่งมะปรางถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

maprangsa

การขยายพันธุ์มะปราง
มะปรางเป็นไม้ผลที่เติบโตช้า ขยายพันธุ์ได้ยาก และใช้เวลาขยายพันธุ์ยาวนานกว่าไม้ผลที่สำคัญบางชนิด การขยายพันธุ์ที่นิยมกันมาก

การเพาะเมล็ด การขยายพันธุ์วิธีนี้ง่าย และสามารถทำได้จำนวนมาก มีข้อเสียที่มีการกลายพันธุ์ และให้ผลผลิตช้า ประมาณ 7-8 ปี
อุปกรณ์ที่ใช้เพาะเมล็ด

  1. เมล็ดพันธุ์มะปรางที่สมบูรณ์
  2. ถุงพลาสติกสีดำขนาด 4X7 นิ้ว หรือ 5X9 นิ้ว
  3. ดินปลูก ดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 3:1:2
  4. บัวรดน้ำ
  5. ผ้าพลาสติกปูพื้น
  6. ปุ๋ยทางใบ
  7. สารเคมีป้องกันแมลง
  8. เครื่องพ่นสารเคมี

ขั้นตอน

  1. ผสมดินปลูก ดินร่วน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 2 ส่วน
  2. นำผลมะปรางที่จะเพาะล้างเอาเนื้อออก ผึ่งในร่ม ก่อนเพาะควรนำไปจุ่มสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อน การเพาะควรใช้ไม้ไผ่กลมเล็กแทงลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วนำเม็ดมะปรางมายอดในแนวนอน กลบเมล็ดด้วยดินเพาะ ประมาณ 5-10 วัน เมล็ดจะงอก
  3. เมื่องอกเป็นต้นกล้า ควรมีการรดน้ำ และให้ปุ๋ยทางใบ (นรินทร์,2537)

การตอนกิ่ง ควรเริ่มทำการตอนกิ่งช่วงต้นฤดูฝน ควรใช้ขุยมะพร้าวหุ้มดีกว่าใช้ดิน เพราะอุ้มน้ำดีกว่า
วิธีการตอน

  1. เลือกกิ่งที่เป็นกิ่งเพสลาด คือผิวเปลือกสีน้ำตาลปนเขียว ลักษณะใบต้องสมบูรณ์ไม่เป็นโรค
  2. ควั่นกิ่งตอน โดยหางจากปลายกิ่ง 40 เซนติเมตร โดยเปิดแผลกว้าง 2-3 เซนติเมตร แกะเปลือกออก ขูดเยื่อเจริญออก อาทิ้งแผลไว้ 7 วัน
  3. หุ้มกิ่งตอนด้วยขุยมะพร้าว ให้มิดรอยแผล แล้วเอาผ้าพลาสติกหุ้มต้นตออีกขั้นหนึ่ง จากนั้นเอาเชือกรัดหัวท้ายให้แน่นพอควร
  4. ทิ้งไว้ 45-55 วัน ก็จะเกิดราก รอจนรากเดินดี จึงตัดไปชำ
  5. ชำกิ่งตอน ควรทำในที่ร่มรำไร กิ่งตอนควรเลี้ยง 1-2 เดือน จึงนำไปปลูก อย่าลืมเอาถุงพลาสติกออกก่อนที่จะนำกิ่งลงชำ

maprangtonn

การทาบกิ่ง เป็นวิธีขยายพันธุ์มะปราง/มะยงชิด ที่เมาะสมที่สุด เพราะมะปรางมีระบบรากแก้วที่แข็งแรง เหมาะที่ทนสภาพแล้งได้ดี การทาบกิ่งนิยมทาบแบบประกบ คือเฉือนต้นกิ่งพันธุ์ดีเป็นแผลยาว 2-3 นิ้ว เฉือนเข้าเนื้อไม้เล็กน้อยเฉียง 30 องศา ต้นตอใช้วิธีตัดยอดออก เฉือนเป็นปากฉลาม นำต้นตอที่เตรียมไว้ สอดเข้าแผลกิ่งพันธุ์ดี ต้นตอควรได้จาการเพาะเมล็ด อายุต้นตอ 1-2 ปี หรือต้นขนาดหลอดกาแฟ (ปฐพีชล,2529)

การเปลี่ยนยอด ควรเปลี่ยนยอดในช่วงฤดูฝน ส่วนฤดูอื่นต้องรดน้ำโคนต้นอยู่เสมอ
วัสดุอุปกรณ์

  1. กรรไรแต่งกิ่ง
  2. มีดตอนที่สะอาด
  3. ผ้าพลาสติกใส
  4. ถุงพลาสติก
  5. ต้นมะปราง ต้นเพาะเมล็ดที่ปลูกในสวนอายุ 1-3 ปี
  6. กิ่งหรือยอดพันธ์ดี ที่มีตาที่สมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นยอดใหม่
  7. กิ่งไม้ทำเพิงชั่วคราว บังขณะต่อยอด

วิธีเปลี่ยนยอด

  1. ใช้กรรไกรตัดยอดมะปรางพันธุ์ดีที่เราต้องการ มาเปลี่ยนยอดพันธุ์ไม่ดี ที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ตัดยอดพันธุ์ที่จะต่อยาว 7-15 เซนติเมตร ตัดใบออกให้หมด
  2. เมื่อถึงที่สวน ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่ง ตัดยอดต้นมะปรางที่สมบูรณ์ นำใบมีดโกนที่คมและสะอาดผ่ายอดต้นตอเป็นรูปลิ่ม 2-3 เซนติเมตร
  3. นำยอดพันธุ์ดีของมะปราง ที่จัดเตรียมไว้แล้ว มาตัดยอดเหลือยาว 5-7 เซนติเมตร แล้วใช้ใบมีดโกนที่คมและสะอาด เฉือนกิ่งพันธุ์ดีทั้งสองด้านเป็นรูปปากฉลาม แผลยาว 2-3 เซนติเมตร แล้วนำไปเสียบบนยอดต้นตอ ในแนวเยื่อเจริญ
  4. นำผ้าพลาสติกใสมาพันแผลบริเวณรอยต่อให้สนิท
  5. นำซองพลาสติก หรือซองใส่ยามาคลุมบริเวณที่ต่อยอดมะปรางให้เลยรอยแผลเล็กน้อยใช้มือรัดปากถุง
  6. หลังจากการเปลี่ยนยอดมะปราง ให้ตัดยอดที่เหลือทิ้งให้หมดเพราะอาหารจะได้มาเลี้ยงยอดใหม่ได้เต็มที่
  7. หลังจากเปลี่ยนยอดได้ 30 วัน มะปรางจะมีการแตกใบอ่อนให้เลื่อนปากถุงขึ้นไปข้างบนที่ละน้อยเพื่อให้ยอดมะปรางแทงได้สะดวก และเมื่อเห็นยอดมะปรางปรับตัวเข้ากับอากาศภายนอกได้ดีแล้วให้นำซองยาออกได้ (เคหการเกษตร, 2537)

maprangkla

แหล่งอ้างอิง :
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หนังสือเภสัชกรรมไทยฯ (วุฒิ วุฒิธรรมเวช)
หนังสือคัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว

ป้ายคำ :

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด ไม้ผล

แสดงความคิดเห็น