มะเดื่อ หรือ มะเดื่อฝรั่ง หรือ มะเดื่อญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ Fig, Common Fig (ลูกฟิก) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ficus carica จัดอยู่ในสกุล Ficus วงศ์ Moraceae เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง พบมากในประเทศตุรกีและกรีก และนอกจากนี้มะเดื่อฝรั่งยังจัดเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอียิปต์ อิตาลีและกรีซอีกด้วย แต่มะเดื่อที่พูดถึงนี้จะเป็นพืชคนละชนิดกับมะเดื่อไทย หรือ มะเดื่ออุทุมพร (มะเดื่อชุมพร) (Ficus racemosa) ที่เป็นพืชพื้นของประเทศอินเดียและศรีลังกา
ต้นมะเดื่อ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นจะเป็นปุ่มแตกกิ่งก้านออก ลำต้นมียางสีขาว ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยวหนาค่อนข้างแข็ง ด้านหนึ่งมีขนอ่อน ส่วนผิวด้านบนจะหยาบ ขอบใบหยักลึก 3-5 หยัก ส่วนผลมะเดื่อจะออกเป็นกระจุก ผลกลมแป้นหรือรูปไข่ มีเปลือกบาง โดยผลอ่อนจะสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ ด้านในมีเนื้อสีแดงเข้ม เมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอม
สำหรับประเทศไทยได้มีการนำเข้ามะเดื่อแห้งจากต่างประเทศ และได้มีการทดลองปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ.2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวงและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น นอกจากนี้มะเดื่อยังเป็นผลไม้ต่างถิ่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอีกด้วย
มะเดื่อฝรั่ง มีคำเรียกหา หรือ ชื่อ ในภาษาต่างๆ ดังนี้
ชื่อวิทยาศาสตร์ ภาษาลาติน Ficus carica วงศ์ Moraceae (วงศ์เดียวกับหม่อน) สกุล Ficus (สกุลเดียวกับโพธิ์ ไทร ไกร กร่าง)
คุณค่าทางโภชนาการของมะเดื่อฝรั่งแห้ง ต่อ 100 กรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
มะเดื่อฝรั่งมีคุณค่าทางอาหารสูงสุดจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของผลไม้ที่มีในโลก มีประวัติการปลูกมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล(มากกว่า 2000 ปี) มีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์กับร่างกายมากมาย ในตำนานยุโรป และ ตะวันออกโบราณได้มีการจารึกไว้ว่า ชาวกรีก ชาวโรมัน และ ชาวอียิป ได้ให้ผลฟิกส์แก่นักรบกินระหว่างอาหารทุกมื้อเพื่อกระตุ้นความแข็งแกร่งของกระดูกและกล้ามเนื้อ เพิ่มทักษะ ปฏิภาณ ไหวพริบ และ กำลังวังชาเมื่ออยู่ในสนามรบ
ประโยชน์ของมะเดื่อฝรั่ง
คำแนะนำ : มะเดื่อฝรั่งแห้งจะมีปริมาณน้ำตาลสูงซึ่งอาจทำให้ฟันผุได้ และการรับประทานมะเดื่อในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้ท้องร่วงได้เช่นกัน
มะเดื่อฝรั่งสามารถขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนได้ทั้งการปักชำ การตอนกิ่ง และการต่อยอด ซึ่งมีรายละเอียดและวิธีการทำดังนี้
การตอนกิ่งมะเดื่อฝรั่ง
การตอนกิ่งเป็นการขยายพันธุ์ที่น่าจะเหมาะสมกับมะเดื่อฝรั่งมากที่สุด เพราะกิ่งมะเดื่อฝรั่งลอกเปลือกง่ายและออกรากเร็วใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนก็แตกรากแล้ว การเลือกกิ่งควรเลือกกิ่งที่ตั้งตรง กิ่งไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป ดูจากลักษณะกิ่งที่มีสีน้ำตาลเข้ม เส้นผ่าน 0.5 นิ้ว กิ่งยาว 50-100 เซนติเมตร วิธีตอนเหมือนตอนกิ่งไม้ทั่งๆไป ควั่นและขูดเนื้อเยื่อให้หมด หุ้มด้วนขุยมะพร้าว มัดตุ้มให้แน่น
อุปกรณ์ที่ใช้ตอนกิ่ง
วิธีการตอนกิ่ง
** การตอนกิ่งมะเดื่อฝรั่ง ใช้หลักการและวิธีการเดียวกันกับการตอนกิ่งทั่วไป
หลังจากตอนกิ่ง 20 วันจะเห็นรากแทงออกมา รอจนให้รากมีมากพอจึงค่อยตัดออกมา ควรมีตู้อบซึ่งสำคัญมาก จะช่วยการรอดตายสูง เข้าตู้อบประมาณ 10 วัน ทำให้รากแข็งแรงเดินเร็วขึ้น ช่วงเข้าตู้อบควรใส่ถุงเข้าให้เรียบร้อยเมื่อออกจากตู้อบควรพักไว้ที่ร่มรำไร 20 วัน สังเกตดูว่ากิ่งชำแข็งแรงก็สามารถนำไปปลูกในแปลงได้
การปักชำกิ่งมะเดื่อฝรั่ง :
การปักชำเป็นวิธีง่ายและสะดวกมาก ทำได้จำนวนมาก แต่การชำมักได้ผลไม่มากนัก ถ้ามีกิ่งชำจำนวนมากก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะส่วนมากจะพบปัญหากิ่งชำเน่าก่อน เปอร์เซ็นการอดอาจจะไม่ถึง 50 เปอร์เซ็น การปักชำควรทำในฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-เดือนกันยายน เคล็ดลับที่สำคัญอย่าเร่งปุ๋ยต้นแม่พันธุ์จนงามเกินไปเมื่อตัดกิ่งไปปักชำมักจะเหี่ยวแห้ง ดังนั้น จึงควรบำรุงต้นให้สมบูรณ์ก็เพียงพอ
การคัดเลือกกิ่งที่จะนำมาปักชำควรเลือกกิ่งแก่ ห้ามใช้กิ่งอ่อนโดยเด็ดขาด ดูกิ่งที่ตั้งตรงยอกสมบรูณ์ ไม่มีโรคและแมลงรบกวน ริดก้านใบให้หมดแล้วนำมาตัดเป็นท่อนๆ ยาว 6-10 นิ้ว จุ่มด้วนน้ำยาเร่งรากประมาณ 10 นาที นำไปปักบนกระถาง ภายในตาข่ายพลางแสง วัสดุชำให้แกลบดำผสมทรายหยาบ รดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่ควรรดน้ำบ่อยจนเกินไปทำให้กิ่งเน่าง่าย หลังปักชำ 1 สัปดาห์ ถ้าต้นยังสดอยู่มีแนวโน้มรอดตายทิ้งไว้ 15 วัน ตาใบจะเริ่มแตกรอให้ใบแตกอย่างน้อย 4-5 ใบ เพราะใบช่วงแตกใบรากจะเริ่มแตกตามค่อยย้ายลงในถุงชำ วัสดุชำควรระบายน้ำง่ายไม่อุ้มน้ำเกินไป ควรใช้ดินร่วน, ปุ๋ยหมักและแกลบดิน หรือใช้ดินผสมใช้ปลูกไม้ประดับที่มีใบฉำฉาเป็นส่วนประกอบจะช่วยได้มาก
ขั้นตอนการปักชำกิ่งมะเดื่อฝรั่ง
การต่อยอดมะเดื่อฝรั่ง
การต่อยอดมะเดื่อฝรั่งมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาให้ระบบรากมีความแข็งแรงโดยมีรากแก้ว ใช้ต้นต่อมะเดื่อป่าหรือเพื่อทำมะเดื่อแฟนซี คือมีหลากหลายสายพันธุ์ในต้นเดียวกัน แต่ควรเลือกพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตพอๆกัน เพื่อให้การเจริญเติบโตที่สมดุลย์กันทุกพันธุ์ แต่ไม่ควรจะเสียบพันธุ์มากเกินไป ต้นหนึ่งๆควรมี 2-3 สายพันธุ์
การเปลี่ยนยอดมะเดื่อสามารถเปลี่ยนในแปลงปลูกได้ โดยการปลูกมะเดื่อป่าลงในแปลงปลูกก่อนแล้วค่อยนำยอดเข้าไปเปลี่ยนภายหลังหรืออาจจะเปลี่ยนมะเดื่อฝรั่งจากพันธุ์ที่เราไม่ต้องการแล้ว ในกรณีที่พันธุ์ใหม่ที่มีดีกว่าเดิม ปัจจุบันสายพันธุ์มะเดื่อฝรั่งที่ปลูกในเมืองไทยมีจำนวนมาก
ต้นที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนยอดควรเป็นต้นต่อที่เลี้ยงไว้อย่างน้อย 1 ปี มีความแข็งแรง เจริญเติบโตเต็มที่ เมื่องจากต้นมะเดื่อฝรั่งลอกเปลือกง่ายเหมาะที่สุด ช่วงฤดูที่เหมาะสมควรทำช่วงต้นฤดูฝนถึงปลายฝน สามารถทำได้หลีกเลี่ยงเรื่องฝนชุกมากเกินไป อาจพบปัญหายอดเน่าบ้างก่อนที่แผลจะติด
** กรณีการเปลี่ยนแปลงต้นมะเดื่อฝรั่งแฟนซี ควรเตรียมต้นต่อให้มีหลายกิ่ง โดยการตัดยอดต้นต่อก่อนครบ 1 ปี เพื่อให้แตกยอดหลายกิ่ง และคัดเลือกไว้ประมาณ 3-4 กิ่ง เมื่อครบปีไปแล้วจะได้กิ่งนำที่แตกมาใหม่แล้วบำรุงให้ต้นต่อสมบูรณ์ ค่อยนำพันธุ์ที่ต้องการเปลี่ยนยอดและพันธุ์จะได้ทรงพุ่มที่สวย ถ้าเปลี่ยนเพียงพันธุ์เดียวสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะสามารถเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดเพียงกิ่งเดียว การเปลี่ยนแปลงมะเดื่อฝรั่งแฟนซีควรเปลี่ยนยอดระดับเดียวกันจึงจะขึ้นพุ่มพร้อมๆ ออกดอกติดผลใกล้เคียงกัน
การต่อยอดแบบลอกเปลือก (เสียบข้าง)
ควรเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ ถ้ากิ่งไม่ตั้งตรงควรทำด้ารบนของกิ่ง โดยใช้มีดกรีดขวางยาว 1 เซนติเมตรและกรีดขนาดเป็น 2 รอย ยาวลงมา 1.5 นิ้ว เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลอกเปลือกออก ระวังอย่าให้รอยแผลซ้ำ ตัดขวางด้านล่างเว้นไว้เป็นลิ้นคอยรับยอดเล็กน้อย ยอดพันธุ์ปาดรูปฉลามด้านหนึ่งยาวอีกด้านหนึ่งสั้น เสียบยอดพันธุ์ดีลงไป ใส่พลาสติกพันจากล่างขึ้นบน พันมิดยอดและพันรัดด้านบนให้แน่น ไม่ให้น้ำซึมเข้าแผลได้
หลังจากต่อยอดได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้ายอดยังเขียวอยู่แสดงว่ามีโอกาสติดสูง ปล่อยไว้จึงสังเกตยอดพันธุ์ดีปลิดยอดออกมา แล้วค่อยเปิดแปลด้านบนเพียงเล็กน้อย ช่วยให้ยอดแทงออกมา ถ้าเปิดที่เดียวหมดอาจทำให้ยอดโดนแสงแดดทำลาย ยอดปรับตัวไม่ทันอาจแห้งตายได้
วิธีการต่อยอดแบบเสียบข้าง
ที่มา :
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ.การปลูกมะเดื่อฝรั่งเชิงพาณิชย์.วารสารเส้นทางกสิกรรม ฉบับพิเศษ.ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร.พิจิตร.2551.
แหล่งอ้างอิง : หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, นิดดา หงษ์วิวัฒน์), เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, www.organicfacts.net
ป้ายคำ : ผลไม้