ค้างคาวในโลกนี้มีหลายชนิด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือค้างคาวกินผลไม้และกินแมลงเป็นอาหาร ค้างคาวออกหากินตอนกลางคืน พักและนอนตอนกลางวัน พื้นถ้ำทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ มีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ในถ้ำที่ค้างคาวอาศัยอยู่ยังไม่มีการขุดค้นนํามูลค้างคาวออกมาใช้ประโยชน์ เนื่องจากสภาพพื้นที่ในการทําการเกษตรยังมีความสมบูรณ์มีประชากน้อย ค้างคาวเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมและการเกษตรของโลกอย่างมาก ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค้างคาวช่วยกินแมลงที่เป็นศัตรูพืช ซึ่งช่วยลดการระบาดของแมลงศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี มูลค้างคาวมีแร่ธาตุอาหารและ จุลินทรีย์ ประกอบไปด้วย ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียม ในปริมาณที่สูงกว่ามูลของสัตว์ชนิดอื่น จึงเป็นที่นิยมนํามาเป็นส่วนผสมในดิน ที่ใช้ในการปลูกพืชเกษตร การปรับปรุงบํารุงดินให้พืชเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตตลอดจนการ ป้องกันโรคต่างๆที่เกิดที่รากหรือโคนต้นของพืชอีกด้วยโดยเฉพาะการช่วยลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทําลายรากพืช หรือการทําลายเชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเน่าโคนเน่าของพืช
การหมักหมมของสิ่งปฏิกูลที่ค้างคาวถ่ายออกมาทั้งอุจาระและปัสสาวะนั้นจะส่งผลต่อสภาวะอากาศภายในถ้ำ โดยเฉพาะถ้ำที่มีทางเข้าออกทางเดียวที่ไม่มีการหมุนเวียนของอากาศ จะทําให้เกิดก๊าซแอมโมเนียที่สูงมาก นอกจากนี้การสะสมของมูลค้างคาวในถ้ำ ถ้ามีปริมาณมากเกินไปจะเป็นการลดปริมาตรของถ้ำ อีกด้วยดังนั้นเพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดก๊าซพิษมากเกินไป และเพื่อเป็นการควบคุมปริมาตรของถ้ำ จึงควรมีการจัดเก็บมูลค้างคาวออกบ้างบางส่วน ซึ่งนอกจากจะเป็นการจัดการถ้ำให้เหมาะที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวและสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ในถ้ำแล้ว ยังเป็นการนําประโยชน์ที่เกิดจากสัตว์ป่ามาใช้โดยตรงในรูปของมูลค้างคาวที่สามารถนํามาทําเป็นปุ๋ย ทดแทนการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่แต่ละปีมีมูลค่าการนําเข้าหลายร้อยล้านบาท แต่การนํามูลค้างออกจากถ้ำจําเป็นต้องดําเนินการจัดการให้เหมาะสมตามหลักวิชาการ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวนค้างคาว และสังคมของสิ่งมีชีวิตในถ้ำ ควรกําหนดหลักเกณฑ์และบุคคลที่ควรได้รับสัมปทาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรักและหวงแหนในทรัพยากรที่มีอยู่
ค้างคาวที่อาศัยอยู่ในถ้ำจะทําการขับถ่ายมูลออกมาทุกวันลงสู่พื้นถ้ำ ทับถมสะสมกันหนาขึ้นระหว่าง 1-5 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของถ้ำ จํานวนประชากรค้างคาว และอายุที่ค้างราวอาศัยอยู่ มูลค้างคาวที่ถ่ายออกมา และมูลค้างคาวเมื่อทําปฏิกิริยากับไอน้ำในถ้ำเกิดก๊าซแอมโมเนียมเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์แต่ค้างคาวสามารถอยู่ได้
กัวโนค้างคาวคือ พื้นหินก้นถ้ำที่มูลค้างคาวและซากศพค้างคาวที่ตายทับถมตลอดจนหินบนเพดานถ้ำที่หล่นมาที่พื้นถ้ำจะทําการย่อยสลายมูลค้างคาวและซากศพค้างคาวโดยมีจุลินทรีย์ช่วยในการย่อยสลายในขณะที่ขบวนการย่อยสลายที่เกิดขึ้นกับมูลค้างคาว และซากศพของค้างคาวนั้น มีผลต่อหินก้นถ้ำซึ่งจะถูกย่อยสลายไปด้วย บางถ้ำมีระยะเวลา 100-1000 ปี จนทําให้หินในถ้ำกลายเป็นแร่ธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืชป้องกันกําจัดโรคพืช และการปรับปรุงบํารุงดินต่อการปลูกพืช จึงเรียกว่ากัวโนค้างคาวหรือบางทีเราเรียกว่าอินทรีย์ฟอสเฟต (คือหินฟอสเฟตที่ถูกย่อยสลายกลายเป็นอินทีย์วัตถุ) อยู่ลึกประมาณ 5-20 เมตร
คุณสมบัติของมูลค้างคาว
การนํามูลค้างคาวไปใช้
ป้ายคำ : ปุ๋ยคอก