นอกจากชื่อว่านเขียวหมื่นปีแล้ว บ้างคนยังเรียกว่านนี้ว่า ว่านหมื่นปีด้วยเช่นกัน ซึ่งว่านเขียวหมื่นปีมีลักษณะลำต้นตั้งตรง แข็งแรงหุ้มด้วยกาบใบเป็นข้อปล้องถี่ ๆ มีสีเขียวอมขาว เป็นพุ่มสวยงามมาก ลักษณะใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายใบยาว โคนใบยาว โคนใบมน แผ่นใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายเป็นทางบ้างจุดบ้าง ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบมีสีเขียวเข้ม
เขียวหมื่นปี หรือคนโบราณเรียก ว่านขันหมา เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในธรรมชาติจะแพร่พันธุ์โดยการงอกของเมล็ด ลักษณะลำต้นสีเขียว แตกใบออกตามลำตันตั้งแต่โคนต้นขึ้นไปคล้ายข่าหรือพืชตระกูลว่าน ใบมีอายุนานไม่ค่อยร่วงพลัดใหม่ จนมีลักษณะเป็นทรงพุ่มหนา ลักษณะใบมีสีเขียวสดถึงเขียวเข้ม บางสายพันธุ์มีแถบสีขาวกระจายทั่วไป คล้ายกับต้นสาวน้อยปะแป้ง ซึ่งมักทำให้เข้าใจผิดบ่อยครั้ง ใบมีลักษณะเรียวตรงก้านใบ กว้างตรงกลาง และเรียวลงในส่วนปลายใบ ความยาวของใบประมาณ 30-50 เซนติเมตร ใบกว้างประมาณ 10-20 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
ชื่อวิทยาศาสตร์: Aglaonena modestum Schott.
ชื่อสามัญ: Silver evergreen
วงศ : ARACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่ม ลำต้นเป็นข้อปล้อง ลำต้นกลมตรง แตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของลำต้นทีละใบ ส่วนที่ติดกับลำต้นมีลักษณะเป็นกาบ
ในช่วงแรกๆ มีการนำว่านขันหมามาปลูกในบ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เขียวหมื่นปี เพื่อให้มีชื่อที่น่าฟัง และเป็นสิริมงคล หลังๆมามีการปลูกมากทั้งในแง่ของว่าน และได้เพิ่มความนิยมกลายมาเป็นไม้ประดับ
แก้วกาญจนา เป็นสายพันธุ์ที่มีการพัฒนามาจาก เขียวหมื่นปี ซึ่งจะมีจุดเด่นกว่าที่สามารถให้สีที่มีความโดดเด่น ฉูดฉาด สวยงามกว่า ปัจจุบันจึงเป็นพันธุ์ที่มีการปลูกมากที่สุด ยิ่งพัฒนาสายพันธุ์ให้มีสีแดงมากก็จะทำให้ราคาสูงมากด้วย ส่วนเขียวหมื่นปี ที่เป็นตระกูลดั้งเดิมก็มีปลูกบ้างแต่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีความนิยมในลักษณะของสายพันธุ์ที่ให้ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ทั้งเขียวสด และเขียวอ่อน
แก้วกาญจนาที่มีการผสมพันธุ์ให้มีสีแดงจะใช้สายพันธุ์โพธิ์บัลลังหรือพันธุ์ขันหมากชาววัง ซึ่งจะได้พันธุ์ลูกผสมที่มีสีแดงออกมา ปัจจุบันมีการผสมจนได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นหลายพันธุ์
การขยายพันธุ์
แก้วกาญจนาหรือเขียวหมื่นปี เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามที่ร่ม แสงแดดรำไร ดินมีความชื้นสูง ชอบดินร่วนปนทราย หน้าดินลึก มีอินทรีย์วัตถุสูง อุณหภูมิประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธี ดังนี้
ลักษณะดอกเกสรตัวเมียที่พร้อมในการผสมพันธุ์ จะเป็นดอกที่บานครั้งแรกของวันที่ 1 และวันที่ 2 โดยเฉพาะในช่วงเช้า สังเกตุจากดอกจะมีกลิ่นหอม อาจพบเมือกที่ปลายเกสร และมีขนฟูขนาดเล็กที่เกสร
การผสมเกสรสามารถทำได้โดยใช้แปรงขนอ่อนขนาดเล็กป้ายเขี่ยบริเวณเกสรเพศผู้เพื่อให้เกสรติดที่ขนแปรง และนำมาป้ายเขี่ยใส่เกสรเพศเมีย พร้อมให้หุ้มด้วยกระดาษหรือถุงพลาสติกเพื่อป้องกันการผสมเกสรที่เกิดจากแมลง หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วัน จะพบการติดผลสีเขียวเล็กๆบนดอก และจะแก่พร้อมเก็บได้ประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งผลแก่อาจจะมีสีแดง สีเหลืองหรือสีส้มหรือออกเป็นสีผสม
การเพาะเมล็ดให้เลือกใช้เมล็ดที่สมบูรณ์ และจากต้นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่น วิธีการนี้สามารถให้ต้นที่เติบโตดี แข็งแรง มีลักษณะเด่นตามต้องการ แต่ต้องใช้ระยะเวลานานมากกว่าวิธีอื่นๆ ทั้งนี้เกษตรกรหรือผู้ป่วยทั่วไปจะขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้เพื่อหาต้นพันธุ์ที่มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง แล้วค่อยมาขยายจากหน่อเพาะเพื่อขายต่ออีกที
การเตรียมดิน และกระถาง
การปลูก
การปลูกแก้วกาญจนาหรือเขียวหมื่นปีจะใช้วิธีการแยกเหง้าปลูกถือเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เพราะจะได้ต้นที่มีความแข็งแรง เติบโตดี มีลักษณะเหมือนต้นพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งวิธีนี้มักทำหลังจากวิธีการเพาะเมล็ดที่มีการปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นต้นพ่อ ต้นแม่พันธุ์ที่มีลักษณะเด่นตามต้องการแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ มีต้นพันธุ์ที่ผ่านการพัฒนาให้มีจุดเด่นต่างๆออกขายตามท้องตลาด ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาในการเพาะเมล็ด เพียงจัดหาต้นพันธุ์ตามต้องการมาปลูก ทำการขยายหน่อ และเลี้ยงสักพักก็สามารถจำหน่ายได้แล้ว ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
ป้ายคำ : ว่าน