สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เป็นผู้นำเกษตรกรที่มีผลงานดีเด่นหลากหลายอาทิ เป็นผู้ริเริ่มนำแนวคิดระบบเกษตรกรรมมาพัฒนาดิน พัฒนาการผลิตพัฒนาการแปรรูปผลิตผลการเกษตร พัฒนาเทคโนโลยีและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแลละทรัพยากรธรรมชาติ สำเร็จผลเป็นที่ประจักษ์ชัด นอกจากนี้ได้ขยายผลง่านไปสู่ผู้อื่นโดยสร้างเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน จัดตั้งมหาชีวาลัยอีสานเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนและการอบรมเรื่องการจัดการความรู้โดยเชื่อมโยงงานที่บุกเบิกริเริ่มกับนโยบายราชการทั้งระดับปฏิบัติการ ระดับวิชาการ และระดับนโยบายของหน่วยงานระดับองค์กร ระดับกระทรวงและระดับประเทศผลงานสร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชุมชน แก่ประเทศชาติเป็นอย่างดี เป็นแบบอย่างแก่การสร้างระบบนิเวศชุมชนแบบยั่งยืน
ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เป็นปราชญ์ชาวบ้านอีกผู้หนึ่งที่ทำเกษตรประณีตเพื่อเป็นต้นแบบในการเรียนรู้แก่เกษตรกร มหาชีวาลัยอีสานของครูบาสุทธินันท์นอกจากมีแปลงเกษตรประณีต 1 ไร่ ยังมีกิจกรรมในพื้นที่อีก อาทิเช่น แปลงสมุนไพร สวนป่ายูคาลิปตัส โรงเผาถ่าน บ่อเลี้ยงปลา โรงเรือนเลี้ยงวัว เลี้ยงนกกระจอกเทศ เลี้ยงไก่ ไปจนถึงเลี้ยงปลวก ต่อยอดไปสู่การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร จากไม้เป็นบ้าน ไม้เป็นถ่าน ใบยูคาลิปตัสเป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งเห็นได้ว่าความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากมีการจัดการความรู้ที่ดีในพื้นที่น้อยแล้วสามารถอยู่ได้ ก็สามารถพัฒนาไปสู่ความรู้อื่นๆ ได้อีกมาก ซึ่งความรู้วิธีการเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่แก่นสำคัญอยู่ที่วิธีคิด
ทุกวันนี้เราทำเกษตรแบบหยาบกันมานาน ทำแบบอาศัยความอยากเข้าว่า ต้องทำมากๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากๆ มีที่ดินเท่าไรก็ไม่เพียงพอหากมีเพื่อสนองความต้องการ ถ้าลบเรื่องความอยากออกไปให้เหลือแต่เรื่องของความเหมาะสมความพอดี ที่ดินในโลกนั้นสามารถจัดสรรให้กับคนทุกคนเพื่อใช้ในการปลูกพืชเลี้ยงตัวเองได้อย่างพอเพียง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการประณีตในการใช้ที่ดินปลูกพืช ยิ่งเราเรียนรู้อย่างต่อเนื่องความประณีตก็จะยิ่งลึก คิดถึงความพอดีในการใช้ชีวิตเกษตรประณีตก็จะยั่งยืน ซึ่งครูบาสุทธินันท์และเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านร้างรูปแบบการทำเกษตรประณีตขึ้นมาเพื่ออธฟิบลายให้เห็นการทำเกษตรแบบเล็กๆ แต่เป็นเล็กที่ได้มาตรฐาน
“คำว่าเกษตรประณีตเราไม่ไปตีความหมายว่าเป็นกิจกรรม แต่เป็นกระบวนการ วิธีเรียน วิธีทำจะชัดเจนกว่า คือ ต่อไปคนที่อยู่ในภาคการเกษตรจะต้องทำอะไรให้มันประณีตขึ้น ดูแลเอาใจใส่ หมั่นศึกษา หมั่นทดลอง ต่อไปคำว่าเกษตรประณีตมันก็จะกลายเป็นวิธีเรียนวิธีทำของชาวบ้าน ซึ่งจะไปสอดคล้องกับคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง แต่เดิมเราไปอธิบายว่าเกษตรประณีตคือการไปทำแปลงผัก 1 ไร่ มันไม่ผิดหรอก แต่ว่ามันยังไม่พอ คนที่ทำอาชีพเกษตรต้องทำแบบผสมผสานหลายๆ อย่าง หมูเป็นไร ไก่เป็นไร ให้มันเห็นระบบตรงนั้น ซึ่งมันก็เป็นระบบเกษตร แต่ที่ผ่านมาเราทำทิ้งทำขว้าง ทำเยอะแต่ได้น้อย ลองมาดูแบบทำน้อยให้มากดีกว่า” ครูบาสุทธินันท์ขยายความคำว่าเกษตรประณีตให้ฟัง
ยุคสมัยเดิมบรรพบุรุษของเราที่ทำเกษตรกรรมมาก็ไม่เคยประสบปัญหารุนแรงอย่างเช่นสมัยนี้ ภาระหนี้สิน ปัญหาสารเคมี ปัญหาสุขภาพ สารพัดปัญหาที่เกษตรกรไม่เคยมีภูมิต้านทาน ระบบอุตสาหกรรมกำลังค่อยๆ กลืนระบบเกษตรกรรมที่เป็นมากกว่าการปลูกพืชเลี้ยงชีพ แต่เป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนไทย หากหลงไปตามกระแสก็ยิ่งจะเกิดปัญหา ครูบาสุทธินันท์อธิบายว่าเกษตรประณีตเป็นการทวนกระแส เพราะปัจจุบันทั้งโลกระบบเกษตรมันเปลี่ยนเป็นเกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เรามาทำในรูปแบบเล็กๆ แบบนี้ผลที่ออกมาจะเลี้ยงตัวได้จริงไหม มันจะต้านกระแสหรือไม่ เป็นการตั้งคำถามชวนให้คนคิดเพื่อนำไปสู่การลองปฏิบัติ เมื่อมีการทำแล้วก็จะเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดเป็นกลุ่มการเรียนรู้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน 1 ไร่ ร่วมกันแก้ปัญหาจนเกิดเป็นความรู้ชาวบ้านขึ้นมา
ระบบเกษตรประณีตไม่ควรหยุดการเรียนรู้ ยิ่งเรียนรู้ยิ่งทดลองก็จะยิ่งมีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งในศูนย์ของครูบาสุทธินันท์ทำให้เราเห็นถึงการคิดต่อยอด คิดอย่างเป็นระบบเป็นวงจรเพื่อการพึ่งตนเองให้ได้ การจะทำเกษตรประณีตในพื้นที่น้อยๆ ครูบาสุทธินันท์แนะนำว่า
“เรามีปัญหาเรื่องปัจจัยการผลิต ดิน ฟ้า ฯลฯ มีการไปปรับปรุงบำรุงดินเสียมาก ทำขนาดใหญ่ไปน้ำก็ไม่พอ สู้มาทำแบบเล็กพริกขี้หนูจะดีกว่า ถ้าเริ่มจาก 1 ไร่ให้ดี มันก็จะขยายไปได้อีก ในการทำต้องตั้งคำถามในใจว่าอยากเห็นว่ามีอะไรอยู่ในไร่ในนา ไม่ใช่ทำนาทำไร่แบบง่ายๆ ไม่กี่วันก็วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ตามจริงเข้าเมืองก็ไม่เป็นไร แต่หากปลูกพืชปลูกต้นไม้ทิ้งไว้มันก็จะได้โตขึ้นมา มันก็จะเป็นทุนเป็นออมสินของเรา ตอนนี้เราต้องทำใหม่ ทำให้ดีขึ้น แบบเดิมมันอยู่ไม่ได้ เราต้องทำให้มันหลากหลาย เพราะสินค้าเกษตรมันลงราคาหมดทุกตัว แต่หากปลูกหลากหลาย ถ้าตัวนี้ไม่ดีก็ยังมีตัวอื่น มันเป็นการลดความเสี่ยง ใน 1 ไร่ มันต้องปลูกผัก แล้วก็เพาะกล้าไม้ขาย ปลูกสมุนไพร เช่น รางจืด มะขามป้อม ตีผลา สมอพิเภก สมอไทย ฯลฯ บางอย่างมาทำยาสมุนไพรชั้นดีได้เลย ถ้าเราเพาะขายมันจะมีรายได้มากกว่าการไปทำผัก เพราะที่เราน้อยก็ต้องไปทำพวกนี้ ต้องให้เรื่องกินกับเรื่องขายไปด้วยกัน ควบคู่กันไป ปลูกพวกผักพื้นเมือง พืชยืนต้น เพราะมันเก็บหมุนเวียนไม่ได้ออกตรงกัน ข้อดีคือน้ำไม่ต้องรด ปุ๋ยไม่ต้องใส่ ยาฆ่าแมลงไม่ต้องฉีด กินได้ตลอด ที่นี่ก็จะมีพวกสะเดา แค มะรุม ฯลฯ จริงๆ แล้วผักพวกนี้ต่างหากที่หนุนมากกว่าผักในแปลง ผักยืนต้นจะอยู่รอบนอก ข้างในก็เป็นผักอายุสั้น”
ข้อสำคัญของเกษตรประณีตมี 3 ประการ 1. การจัดวางระบบน้ำและอนุรักษ์น้ำให้เหมาะสม 2. การฟื้นฟูและเสริมธาตุอาหารให้กับดิน 3. การจัดวางและคัดเลือกพืชผักให้เหมาะสมกับพื้นที่ 1 ไร่ ทั้ง 3 ประการนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า พออยู่พอกิน และคำนึงถึงเรื่องทุนในระดับหนึ่ง จากการที่เห็นเกษตรกรทำเกษตรแต่ไม่มีทุน แบกรับค่าใช้จ่ายหรือ หนิ้สินมากจึงคิดว่าต้องหาทุนมาจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งต้นไม้ก็เป็นอะไรที่ช่วยสร้างทุนได้ดีระดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับพืชตัวอื่น ตัวอย่างของที่มหาชีวาลัยจะมีการทำสวนป่ายูคาลิปตัส จากการศึกษางานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเรื่องการปลูกต้นไม้ตามคันนา จะมีกี่ไร่ก็ได้ ทำนาได้ข้าว แต่ก็ใช้คันนาให้เกิดประโยชน์โดยการปลูกล้อมนาก็จะได้ทุนที่เป็นตัวเงินจริงๆ เกษตรกรในเครือข่ายของครูบาก็มีการปลูกยูคาลิปตัสรอบคันนา เนื่องจากเป็นไม้เศรษฐกิจที่โตเร็ว ในรอบปีก็จะมีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพิ่มมากขึ้นกว่าการปลูกข้าวอย่างเดียว ครูบาสุทธินันท์บอกว่าเราต้องแก้ไขพื้นฐานให้เขาก่อน ในการส่งเสริมหากเกษตรกรเกิดตัวเงินบ้างก็จะเกิดกำลังใจ ใช้หนี้ได้แล้วก็ยังมีเหลือ กำลังใจตรงนี้เกิดก็จะมีแรงสู้กันต่อไปได้ หากผู้ใดสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ มหาชีวาลัยอีสาน (สถาบันภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน) 34 บ้านปากช่อง ต.สนามชัย อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ 31150 โทรศัพท์ 044-782313 โทรสาร 044-681220
พื้นที่ 1 ไร่ในแปลงเกษตรประณีตของครูบาสุทธินันท์ จะมีส่วนของผักที่ปลูกตามฤดูกาล เป็นผักอายุสั้นซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาปลูก เช่น ผักกะหล่ำปลี ต้นหอม ถั่วฝักยาว ผักกาด พริก เป็นต้น รอบแปลงจะปลูกไม้พุ่ม ไม้ผล ไม้เลื้อย อาทิเช่น มะละกอ แก้วมังกร น้ำเต้า ใต้โครงไม้เลื้อยหรือไม้ใหญ่ก็จะมีผักประเภทที่ไม่ต้องอาศัยแสงมากในการเจริญเติบโต โดยรอบพื้นที่จะปลูกดอกไม้ที่ช่วยดึงแมลงมีประโยชน์ในพื้นที่ อาทิเช่น ต้นดาวเรือง
เป็นชาวบ้านธรรมด๊าธรรมดา
ถิ่นที่มายี้แหลกแจกกระหน่ำ
เมืองที่กันดารดิ้นกินน้ำตำ
บุรีรัมย์ทำงามหน้ามาทุกงาน
อยู่กลางดิน กินกลางดอน นอนฝันเฟื่อง
ยุ่งกับเรื่องปลูกป่าภักษาหาร
เลี้ยงเป็ดไก่ปูปลามาช้านาน
ตั้งเตาถ่านหน้าดำหากำไร
ก่อกิจการบ้านเรียนโฮมสกูล
ตั้งเป็นศูนย์ศึกษาปัญญาใหม่
มีชื่อว่ามหาชีวาลัย
สอนลูกไทยให้พ้นคนเชยๆ
แต่ก็มีปัญหาคนช่วยสอน
ครูดีๆเขาก็งอนทำเฉยๆ
ชวนคนไหนก็ไม่สนใจเลย
มีไหมเอ่ย ครูอกหัก ขอสักคน.
ป้ายคำ : เกษตรประณีต