หญ้าคาเป็นวัชพืชร้ายที่อยู่คู่กับเกษตรกรไทยมาช้านาน สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นพืชที่กำจัดได้ยาก ก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่เกษตรกรยิ่งนัก แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นกลับพบว่ามันเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ที่ใครๆต้องการ เนื่องจากมันสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด และยังสามารถนำมามุงเป็นหลังคาป้องกันความร้อนจากแสงแดด และฝนตก ที่สำคัญมันได้ชื่อว่าเป็นพืชทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้คนในหลายๆท้องที่อีกด้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Imperata cylindrica (L.) P. Raeusch.
วงศ์ : GRAMINEAE (POACEAE)
ชื่อท้องถิ่น : เก้ออี ผกะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) คา, ลาลาง, คาหลวง (มลายู) ลาแล (มลายู-ยะลา) แปะเหม่ากึง, เตี่ยมเชากึง (จีน)
ลักษณะ
หญ้าคาเป็นพืชล้มลุก สูง 0.3-0.9 เมตร มีเหง้าใต้ดินรูปร่างยาว และแข็ง ใบเดี่ยว แทงออกจากเหง้า กว้าง 1-2 ซม. ยาวได้ถึง 1 เมตร ขอบใบคม ดอกเป็นช่อทรงกระบอกแทงออกจากเหง้า ดอกย่อยติดกันแน่น ดอกแก่มีขนฟูสีขาว ผล เป็นผลแห้ง ไม่แตก

หญ้าคาเป็นพวกพืชพวกหญ้า มีลำต้นใต้ดินเป็นเส้นกลม สีขาวทอดยาว มีข้อชัดเจน ผิวเรียบ หรืออาจมีขนบ้างเล็กน้อย แตกกิ่งก้านสาขาเลื้อยแผ่และงอกเป็นกอใหม่มากมายหลายกอ ใบแตกจากลำต้นใต้ดิน ลักษณะแบนเรียวยาว มีใบยาว 20-50 ซ.ม. กว้าง 5-9 ม.ม. ตอนแตกใบอ่อนใหม่ ๆ จะมีปลอกหุ้มแหลม แข็งที่ยอด ยาวประมาณ 1 ม.ม. งอกแทงขึ้นมาจากดิน ดอกออกเป็นช่อทรงกระบอก ยาว 5-20 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-3 ซ.ม. มีดอกย่อยอยู่ติดกันแน่น เมื่อแก่จะเป็นขนฟูสีขาว เมล็ดจะหลุดร่วงปลิวไปตามลม แพร่พันธุ์ไปได้ไกล ๆ พวกที่ขึ้นในทุ่งหญ้าออกดอกในฤดูร้อน พวกที่ขึ้นในที่ชื้นแฉะออกดอกปลายฤดูร้อนหรือฤดูหนาว นอกจากแพร่พันธุ์โดยเมล็ดแล้ว ยังแพร่พันธุ์โดยลำต้นใต้ดิน ที่งอกลามไปแล้วเจริญเป็นต้นใหม่อีก เป็นพืชชอบแดด และทนทานมาก เผาก็ไม่ตายและดูเหมือนว่าไฟจะไปช่วยกระตุ้นให้มันงอกมากขึ้น และออกดอกแพร่พันธุ์มากขึ้นไปอีก จึงกลายเป็นวัชพืชที่ขึ้นลุกลามไปตามไร่และปราบได้ยากชนิดหนึ่ง พบขึ้นเป็นทุ่งทั่วไป ตามพื้นที่ร้างว่างเปล่า ตามหุบเขาและริมทางทั่วไป

การเก็บมาใช้
- ใช้ราก ดอก ขน (ดอกแก่) และใบ เป็นยา
- ดอก เด็ดทั้งก้านตอนดอกบานในฤดูร้อนหรือหนาว ใช้สดหรือตากแห้ง เก็บไว้ใช้ ลักษณะดอกแห้งที่ดี เป็นแท่งทรงกระบอกยาว 5-20 ซ.ม. มีขนที่โคนดอกย่อย ขนมีมากเป็นส่วนใหญ่ของช่อดอก สีขาวออกเทา เป็นปุยเบา ๆ คล้ายนุ่น ดอกย่อยมีสีเหลืองออกเทา มีก้านเกสรตัวเมียเป็นเส้นยาว ๆ 2 เส้น มีกลิ่นอ่อน ๆ รสจืด ควรแห้งสนิท มีก้านดอกสั้น ๆ จึงดี
- ขน (ดอกแก่) เก็บเมื่อช่อดอกแก่เต็มที่ เป็นขนสีขาวฟู เก็บมาตากแห้ง เก็บไว้ใช้
- ราก เก็บในฤดูฝน หรือฤดูหนาว ตัดส่วนเหนือดินทิ้ง ขุดเอารากและลำต้นใต้ดินล้างสะอาด ขูดรากฝอย ๆ ออก ใช้สดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ ลักษณะรากแห้งที่ดี เป็นเส้นกลม ๆ ยาว 30-60 ซ.ม. เส้นผ่า-ศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซ.ม. ผิวนอกมีสีขาวหรือเหลืองขาว มีข้อสีน้ำตาลอ่อนนูนออกมา แต่ละข้อห่างกันประมาณ 3 ซ.ม. เนื้อเหนียว หักยาก เนื้อในตรงกลางมีสีเหลืองอ่อน มีรูเล็ก ๆ 1 รู รอบนอกมีสีขาว มีรูเล็ก ๆ เรียงเป็นวงรอบ มีกลิ่นอ่อน ๆ ต้นที่อวบใหญ่สีขาว ไม่มีรากฝอย มีรสหวานจึงดี ก่อนใช้ผสมยา ใช้รากแห้ง เลือกสิ่งแปลกปนออก ล้างสะอาดพรมน้ำให้ชุ่ม หั่นเป็นท่อน เอาไปตากให้แห้ง ร่อนเศษผงทิ้ง ชั่งไปใช้ผสมยา อีกวิธีหนึ่งหั่นเป็นท่อน ๆ ใส่หม้อดินเผาด้วยไฟแรง ๆ จนดำ พรมน้ำให้เย็น เอามาตากให้แห้ง เรียกว่า ถ้าหญ้าคา ผสมใช้เป็นยา
- ใบ ตัดมาผึ่งให้แห้ง เก็บไว้ใช้
การขยายพันธุ์ : โดยเมล็ดหรือเหง้า
ส่วนที่นำมาเป็นยา : ราก ดอก ขน (ดอกแก่) และใบ
สารเคมีที่สำคัญ : มี Arundoin, Cylindrin, กรดอินทรีย์ น้ำตาล
สรรพคุณทางยาและวิธีใช้ :
แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ: รากและเหง้าสดหรือแห้ง 1 กำมือ (สดหนัก 40-50 กรัม ถ้าแห้งหนัก 10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร
เลือดกำเดาออกง่าย ใช้ดอกแห้ง 15 กรัม จมูกหมู 1 อัน ต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง กินหลังอาหาร หรือใช้ขน (ดอกแก่) 15 กรัม ต้มกับน้ำ รับประทาน และขณะที่เลือดออก ใช้ช่อดอกหรือขนตำอุดรูจมูกด้วยเพื่อห้ามเลือด

สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทยคือ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้อักเสบในทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้น้ำดีซ่าน แก้อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โดยใช้ 1 กำมือ (สด 40-50 กรัม หรือ แห้ง10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1ถ้วยชา(75 มล.)
สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีนคือ รสอมหวานเย็น มีฤทธิ์ห้ามเลือด ทำให้เลือดเย็น ใช้รักษาอาการเลือดออกจากภาวะเลือดร้อน เช่น เลือดกำเดา ไอ อาเจียน ปัสสาวะเป็นเลือด และมีฤทธิ์ระบายความร้อน และขับปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ปัสสาวะร้อนมีสีเข้ม ใช้ 9-30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม
ตำรับยา
- แก้เลือดกำเดาออกง่าย หรือออกไม่ค่อยหยุด ใช้ช่อดอกแห้ง 15 กรัม จมูกหมู 1 อัน ต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง กินหลังอาหารหลายครั้ง อาจหายขาดได้ หรือใช้ขน (ดอกแก่) 15 กรัม ต้มน้ำกินก็ได้หรือใช้น้ำคั้นจากรากสดกิน 1 ถ้วยชา (15 ม.ก.) หรือใช้รากแห้งบดเป็นผง 2.6 กรัม ผสมน้ำซาวข้าวกินหรือใช้รากสด 30 กรัม ต้มน้ำกิน
ขณะที่เลือดกำเดาออก ใช้ช่อดอกหรือขนตำอุดรูจมูก ช่วยห้ามเลือดกำเดาอีกด้วย
- แก้อาเจียนเป็นเลือด ใช้รากแห้ง 30 กรัม ต้มน้ำกินหรือผสมรากบัว 15 กรัม ต้มน้ำกิน
- แก้หอบ ใช้รากสด 1 กำมือ เปลือกต้นหม่อน (Morus alba L.) อย่างละเท่าๆ กัน ใส่น้ำ 2 ชาม ต้มให้เหลือ 1 ชาม กินแต่น้ำ
- แก้ปัสสาวะเป็นหนอง ใช้รากแห้ง 15 กรัม ใส่น้ำ 250 ม.ล. ต้มให้เหลือ 50 ม.ล. รินกินตอนอุ่นหรือเย็นก็ได้ วันละ 3 ครั้ง
- แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ใช้ราก 1 กำมือ ใส่น้ำ 1 ถ้วยใหญ่ ต้มให้เหลือ 1 ถ้วยชา (15 ม.ล.) รินกินตอนอุ่นๆ หรือใช้รากแห้ง เมล็ดผักกาดน้ำ (Plantago asia-tica L.) อย่างละ 30 กรัม น้ำตาลทราย 15 กรัม ต้มน้ำกิน
- แก้ตรากตรำทำงานหนัก ช้ำใน ใช้รากสดและขิงสดขนาดเท่าๆ กัน (60 กรัม) ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำ 2 ถ้วย ต้มให้เหลือ 1 ถ้วย กินวันละครั้ง
- ปัสสาวะขุ่นเหมือนน้ำนม ใช้รากสด 250 กรัม ใส่น้ำ 2,000 ม.ล. ต้มให้เหลือ 1,200 ม.ล. ใส่น้ำตาลพอสมควรแบ่งกิน 3 ครั้ง ให้หมดใน 1 วัน หรือกินแทนชาติดต่อกัน 5-15 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา
- แก้ไตอักเสบ ใช้รากแห้ง 30 กรัม ดอกเจ๊กกี่อึ้ง (Solidago virga-aureus var. leiocarpa (Benth) A Gray) 30 กรัม เปลือกลูกน้ำเต้า 15 กรัม เหล้าขาว 3 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 2 ครั้ง วันละชุด (ห้ามผสมเกลือกิน) หรือใช้รากสด 60-120 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 2-3 ครั้ง ให้หมดใน 1 วัน
- แก้ปัสสาวะขัด ตัวบวมน้ำ ใช้รากสด 500 กรัม ลอกเปลือกที่อยู่ระหว่างข้ออก หั่นฝอยใส่น้ำ 4 ถ้วยใหญ่ ต้มให้เดือด 10 นาที เปิดดู ถ้ารากยังไม่จมน้ำ ก็ให้ต้มต่อไปจนรากจมน้ำหมด เอากากออกรินตอนอุ่นๆ ประมาณครั้งละครึ่งถ้วย กลางวัน 5-6 ครั้ง กลางคืนอีก 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องกันจนครบ 12 ชั่วโมง ปัสสาวะจะถูกขับออกมากขึ้น
- cdh ดีซ่าน ตัวเหลืองจากพิษสุรา ใช้รากสด 1 กำมือ หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับเนื้อหมู 500 กรัม กิน
- แก้พิษจากต้นลำโพง ใช้รากสด 30 กรัม ต้นอ้อย 500 กรัม ตำคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำมะพร้าว 1 ลูก ต้มกิน
- แก้ออกหัด กระหายน้ำ ใช้รากแห้ง 30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มบ่อย ๆ
ข้อควรระวัง : คนที่มีปัสสาวะมาก แต่ไม่กระหายน้ำ ห้ามรับประทานราก
