หน่อไม้น้ำเป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ Zizania latifolia.Turcz หน่อไม้น้ำมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้แพร่กระจายไปปลูกในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซียตอนใต้ พม่า อินเดียตอนเหนือ ลังกา ปากีสถานและไทย สำหรับประเทศไทยหน่อไม้น้ำถูกนำมาปลูกมานานกว่า 50 ปีมาแล้ว โดยชาวยูนานที่อพยพนำมาปลูกในภาคเหนือ นอกจากนี้ชาวจีนอ่อนำมาปลูกที่เชียงใหม่ เชียงราย ส่วนภาคใต้นำเข้ามาทางประเทศมาเลเซีย โดยนำมาปลูกที่จังหวัดภูเก็ตแล้วกระจายสู่จังหวัดอื่น ๆ จนกลายเป็นพืชผักเศรษฐกิจที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายของภาคใต้ หน้าตาของหน่อไม้น้ำถ้าไม่บอกหลายคนต้องบอกว่าเป็นหญ้าแน่ ๆ หรือถ้ามองไกล ๆ ก็คงคล้ายกับต้นข้าว เพราะการปลูกหน่อไม้น้ำจะปลูกในทุ่งนาเหมือนข้าวนั่นแหละ เนื่องจากหน่อไม้น้ำเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีน้ำขัง มีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนต้นข้าว แต่ลำต้นสูงใหญ่กว่า แตกกอเหมือนข้าว ใบคล้ายต้นกกหรือธูปฤษีมีสีเขียวเข้ม มีดอกเป็นพวงแต่หน้าตาไม่เหมือนรวงข้าว ระบบรากเป็นรากฝอย ขยายพันธุ์โดยใช้หน่อที่แตกออกมาจากข้อของลำต้น
หน่อไม้น้ำ เป็นชื่อต้นหญ้าชนิดหนึ่ง ต้นคล้ายกอข้าว ลำต้นโตสูงใหญ่ ชาวจีนในจังหวัดภูเก็ตเรียกว่า ก่าเป้ก (Zizania latifolia Turcz. ในวงศ์ Gramineae) ใบแบนยาว เพศเมียที่มีอายุ ๗-๙ เดือน จะมีดอกอ่อนอวบพองซ่อนอยู่ในกาบใบคล้ายยอดอ้อย นำออกมาเป็นผัก แต่ถ้าลำต้นแก่ขึ้น จะมีจุดดำ ๆ ดูลักษณะคล้ายกับมีเชื้อรา หรือที่เรียกกันว่า ขึ้นขี้แมงวัน อยู่ภายในเนื้อดอก
ในภาคใต้ หน่อไม้น้ำ เป็นพืชที่นำมาจากประเทศจีน เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๖๘ ต่อมานายหยิ่นจอก เอกวานิช ได้นำไปขยายพันธุ์ ที่บ้านท่าแครง ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต และต่อมาได้นำไปขยายพันธุ์ในเนื้อที่ ๓ – ๔ ไร่ ที่บ้านเลขที่ ๓๗ ซอยบางใหญ่ ถนนวิชิตสงคราม ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต
หน่อไม้น้ำในสมัยก่อนนิยมปลูกในขุมเหมืองหาบร้าง เพราะมีน้ำชะล้างหน้าดิน มีใบไม้ลงไปทับถมเป็นดินโคลนและเป็นปุ๋ย ทำให้ริมขุมเหมืองตื้นเขิน การปลูกหน่อไม้น้ำจะต้องปลูกในพื้นที่ที่มีน้ำขังหล่อเลี้ยง ลำต้นของหน่อไม้น้ำสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร มีน้ำใส ไม่มีน้ำสนิมปน แต่ปัจจุบันจะปลูกหน่อไม้น้ำลงในแปลงนาข้าวก็ได้
ลักษณะพันธุ์ของหน่อไม้น้ำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
การปลูกหน่อไม้น้ำจะสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีถ้าพื้นที่ปลูกมีน้ำ ซึ่งนอกจากจะปลูกในนาข้าว ร่องน้ำ ร่องสวนแล้ว คนที่ไม่มีพื้นที่ก็สามารถปลูกในกระถางหรือภาชนะที่มีน้ำขังก็ได้ แต่ต้องขยันตัดสางหรือตัดแต่งกอและแยกหน่อออกไปปลูกบ่อยหน่อย เพราะถ้ากอแน่นมาก หน่อไม้น้ำจะให้หน่อน้อยหรือไม่มีหน่อ เดือนพฤษภาคมดูจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกเนื่องจากเป็นช่วงต้นฝนน้ำอุดมสมบูรณ์ การปลูกหน่อไม้น้ำเชิงการค้าเพื่อขายหน่อนั้นจะปลูกในพื้นที่นาซึ่งการเตรียมดินก็เหมือนกับการเตรียมแปลงปักดำข้าวนั่นแหละ โดยทำการไถ กำจัดวัชพืช คราดทำเทือกแล้วปล่อยน้ำเข้าขัง ให้ระดับน้ำลึกประมาณ 15-25 เซนติเมตร การปลูกหน่อไม้น้ำจะใช้ต้นกล้าปักดำ ระยะปลูก 11 เมตร ตัดใบออกก่อนปลูกเพื่อป้องกันลมพัดต้นล้ม พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 1,500 ต้น
การดูแลรักษาหน่อไม้น้ำไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแต่คอยรักษาระดับน้ำในแปลงให้ลึกประมาณ 15-25 เซนติเมตร ถ้าน้ำลึกเกินไปจะยึดปล้องทำให้ต้นล้มและกระทบกระเทือนต่อการเจริญเติบโตของหน่อไม้น้ำ ส่วนการให้ปุ๋ยควรจะให้หลังปลูก 20 วัน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปุ๋ยนานั่นเอง และใส่ปุ๋ยทุกครั้งที่ทำการสางกอ โดยใช้ปุ๋ยคอกอัตรา 30 กก.ต่อไร่ และปุ๋ยคอก 200-300 กก.ต่อไร่ ซึ่งมีธาตุไนโตรเจนสูงจะทำให้หน่อไม้น้ำให้หน่อดี หน่อใหญ่ กรอบอร่อย
หน่อไม้น้ำเจริญเติบโตเร็วเช่นเดียวกับข้าว หลังปักดำ 2 เดือน ต้องกำจัดวัชพืชในแปลงออกให้หมดแล้วทำการตกแต่งสางกอโดยการตัดใบที่แห้งหรือใบที่หักล้มออกให้หมด โดยตัดแต่งเว้นไว้ประมาณ 5-10 ต้นต่อกอแล้วใส่ปุ๋ย จะทำให้หน่อไม้น้ำให้หน่อดี แต่ถ้าไม่ตัดสางกอและใส่ปุ๋ยแล้วล่ะก็จะทำให้หน่อไม่สมบูรณ์ หน่อน้อย ดังนั้นในดินที่อุดมสมบูรณ์สูง หน่อไม้น้ำจึงให้หน่อได้ดีกว่าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
หน่อไม้น้ำจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้หลังปลูกแล้วประมาณ 5 เดือน ถ้าปลูกเดือนพฤษภาคมจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หน่อไม้น้ำจะให้หน่อมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม แต่จะให้หน่อน้อยในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม ช่วงนี้เกษตรกรจะไม่นิยมเก็บเกี่ยวหน่อ เพราะไม่คุ้มกับค่าจ้างเก็บเกี่ยว ดังนั้นช่วงนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องตกแต่ง สางกอและใส่ปุ๋ย แต่ต้องคอยดูแลระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับการเก็บเกี่ยวหน่อไม้น้ำนั้นจะเลือกเก็บหน่ออ่อนที่พองตัวออกมาจากลำต้น มีลักษณะพองโตบวมใหญ่ขึ้น เป็นหน่อที่ผิดปกติ ยาวประมาณ 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.0-2.5 ซม. หน่อที่เลือกเก็บต้องเป็นหน่อที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป สังเกตง่าย ๆ ก็คือหน่ออ่อนจะมีขนาดเล็ก เมื่อตัดหน่อมาแล้วถ้าขนส่งไปขายไม่ต้องลอกกาบออกและน้ำไปเก็บไว้ในที่เย็นจะทำให้สดและเก็บได้นานถึง 15 วัน ในพื้นที่ 1 ไร่ หน่อไม้น้ำจะให้ผลผลิตได้มากถึง 200-300 กก.
ด้วยความที่หน่อไม้น้ำเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มีน้ำขัง การปลูกหน่อไม้น้ำจึงสามารถปลูกได้ดีในร่องน้ำ ร่องสวนหรือท้องนาอย่างที่บอกไว้ตอนต้น ดังนั้นทางสำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานีจึงคิดว่าหน่อไม้น้ำน่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ให้กับชาวปทุมธานีได้เนื่องจากปทุมธานีมีพื้นที่นาอยู่ค่อนข้างมาก จึงได้นำหน่อไม้น้ำจากภาคใต้มาทดลองปลูก โดยให้คุณสงเคราะห์ ชูแตง เป็นจุดทดลองและถ่ายทอดเทคโนโลยีเรื่องนี้ ปัจจุบันหน่อไม้น้ำที่ปลูกเริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคมากขึ้น
คุณสงเคราะห์เล่าว่า ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนำต้นพันธุ์หน่อไม้น้ำมาให้ทดลองปลูกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วจำนวน 300 หน่อ คุณสงเคราะห์นำมาปลูกในร่องสวนซึ่งมีน้ำขังในร่องอยู่แล้ว เมื่อหน่อไม้น้ำให้หน่อจึงนำไปขายเองที่ตลาดน้ำไทรน้อย ซึ่งคุณสงเคราะห์จะนำพืชผักผลไม้ที่สวนไปขายเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วงแรกหน่อไม้น้ำยังไม่เป็นที่รู้จักของชาวบ้านที่นี่ก็ต้องสร้างตลาดก่อน โดยแนะนำให้คนซื้อรู้จักวิธีการนำไปทำอาหาร คนที่ซื้อไปทานเกือบทุกคนล้วนติดใจในรสชาติที่หวานอร่อยของหน่อไม้น้ำ จนทำให้ปัจจุบันผลผลิตไม่พอขาย คุณสงเคราะห์จะนำหน่อไม้น้ำไปขายวันละ 10 กก. เพราะผลผลิตยังมีไม่มากนัก โดยขายเป็นถุง ๆ ละ 10 บาท ซึ่งก็ประมาณ 10 หน่อ หรือ 3 ขีด หน่อที่นำไปขายจะเป็นหน่อที่ยังไม่ได้ลอกเปลือกออก ซึ่งส่วนที่จะนำไปทานนั้นต้องลอกเปลือกออกก่อนจนถึงหน่ออ่อนที่อยู่ข้างใน หั่นหรือตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปทำอาหารได้เลย
คุณสงเคราะห์บอกว่า ด้วยความที่เป็นพืชใหม่จึงต้องศึกษาการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตอยู่ เท่าที่นำมาปลูกก็ไม่ได้ดูแลอะไรมาก มีการให้ปุ๋ยบ้าง ตัดสางกอและแยกหน่อไปปลูกขยายเรื่อย ๆ ที่ผานมายังไม่มีปัญหาเรื่องโรค-แมลงรบกวนแต่อย่างใด ปัจจุบันคุณสงเคราะห์มีการขยายแปลงปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตลาดมีความต้องการมากขึ้น และคาดว่าน่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ให้กับชาวปทุมธานีได้อย่างที่หวังแน่นอน
การปลูกหนอไม้น้ำ(กะเป็ก) นั้นจะเริ่มตั้งแต่ฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปลูกในพื้นที่ที่มีน้ำหล่อเลี้ยง มีน้ำใส ไม่มีสนิม แต่ในปัจจุบันจะนิยมปลูกในนาข้าวก็ได้ ในการปลูกหน่อไม้น้ำ(กะเป็ก) ทำการพันธุ์ได้ต้นตัวเมียแล้ว ก็ปลูกเหมือนกับการปลูกข้าว กอละ 3-4 ต้น ระยะห่างกันต้นละ 1 ฟุต เพื่อจะได้แตกกอต่อไป จะต้องเลือกพื้นที่ปลูกให้มีน้ำชื้นแฉะหรือน้ำขังอยู่ตลอดเวลา และน้ำจะต้องท่วมโดนต้นกะเป็กคือลึกอย่างน้อย 1 ฟุต ถ้าไม่เช่นนั้นลำต้นและฝักจะแห้งแฟบ ในการดูแลต้องหมั้นดู ถ้าหากมีต้นตัวผู้ขึ้นมาปะปนมากต้องถอนออก เพราะถ้าอย่างนั้นแล้วต้องใช้เวลา 8 เดือนถึง1ปี จึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ถ้าดินดีต้นจะอวบให้เนื้อมาก ถ้าดินไม่ดีจะต้องใส่ปุ๋ยบำรุงหรือใช้วิธีแยกกอให้ห่าง ๆ การเก็บเกี่ยวจะเลือกต้นที่มีหน่ออ่อนหรือมีดอกอ่อน ส่งขายร้านอาหารและภัตตาคาร นิยมนำหน่อไม้น้ำ(กะเป็ก) มาใช้ในประกอบอาหารอาหารหลายชนิด เช่น ผัด แกง
หน่อไม้น้ำจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้หลังปลูกแล้วประมาณ 5 เดือน ถ้าปลูกเดือนพฤษภาคมจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หน่อไม้น้ำจะให้หน่อมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม แต่จะให้หน่อน้อยในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม ช่วงนี้เกษตรกรจะไม่นิยมเก็บเกี่ยวหน่อ เพราะไม่คุ้มกับค่าจ้างเก็บเกี่ยว ดังนั้นช่วงนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องตกแต่ง สางกอและใส่ปุ๋ย แต่ต้องคอยดูแลระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับการเก็บเกี่ยวหน่อไม้น้ำนั้นจะเลือกเก็บหน่ออ่อนที่พองตัวออกมาจากลำต้น มีลักษณะพองโตบวมใหญ่ขึ้น เป็นหน่อที่ผิดปกติ ยาวประมาณ 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.0-2.5 ซม. หน่อที่เลือกเก็บต้องเป็นหน่อที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป สังเกตง่าย ๆ ก็คือหน่ออ่อนจะมีขนาดเล็ก เมื่อตัดหน่อมาแล้วถ้าขนส่งไปขายไม่ต้องลอกกาบออกและน้ำไปเก็บไว้ในที่เย็นจะทำให้สดและเก็บได้นานถึง 15 วัน ในพื้นที่ 1 ไร่ หน่อไม้น้ำจะให้ผลผลิตได้มากถึง 200-300 กก.
คุณค่า/ประโยชน์
หน่อไม้น้ำ เป็นพืชที่กำลังได้รับความนิยมและมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรปลูกกันมาก นอกจากให้คุณค่าทางอาหารแล้ว หน่อไม้น้ำยังใช้ เป็นยาสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็งอีกด้วย จึงได้มีการสนใจทีจะปลูกและบริโภคกันมากขึ้นอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
การจัดแต่งกอหรือการสางกอ
หน่อไม้น้ำเจริญเติบโตเร็วเช่นเดียวกับข้าวหลังจากปักดำ 2 เดือน ควรทำการตกแต่งสางกอโดยการตัดแต่งใบที่แห้งหรือใบที่หักล้มออกให้หมด ถ้าหากว่ามีต้นที่ไม่แข็งแรงควรตัดทิ้งให้เหลือ 10-12 ต้น/กอ เพื่อให้หน่อไม้น้ำเจริญเติบโตเต็มที่
การกำจัดวัชพืช
เมื่อเตรียมดินปลูกควรเก็บหญ้าและวัชพืชออกให้หมด ถ้าทิ้งไว้จะแย่งอาหารทำให้หน่อไม้น้ำเจริญเติบโตไม่เต็มที่และเป็นที่อาศัยของโรคและแมลงอีกด้วย
การใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้สำหรับหน่อไม้น้ำระยะแยกใช้เช่นเดียวกับข้าวหรืออาจจะใช้ปุ๋ยคอกก็ได้โดยใส่หลังปลูก 1เดือนหรือหลังการสางกอ การใส่ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยคอกจะได้ผลดีก่อนการเก็บเกี่ยวหน่อไม้น้ำ ควรใช้ปุ๋ยสูตรที่มีไนโตรเจนสูง
โรคแมลงที่สำคัญ
ตั๊กแตนกัดกินใบและหนอนม้วนใบ หากพบทำลายเสียหายมากใช้ยาพาโตรดวิน 20 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวหน่อไม้น้ำ เก็บเกี่ยวหน่ออ่อนที่พองตัวออกมาจากลำต้น ซึ่งเป็นส่วนที่นำมาบริโภคมีลักษณะหน่อพองโต ยาวประมาณ 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20.-2.5 ซม. เมื่อตัดหน่อมาแล้วนำมาลอกกาบออกให้เหลือเฉพาะภายใน คือ หน่อที่จะนำมาบริโภค การเก็บหน่อไม่ควรเก็บหน่อที่อ่อนหรือแก่เกินไป ถ้าอ่อนหน่อจะมีขนาดเล็กถ้าแก่เกินไปจะมีหมึกเป็นจุด ๆ การเก็บเกี่ยวควรเก็บในช่วงเช้า หน่อไม้น้ำจะให้ผลผลิตมากที่สุดประมาณเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม พื้นที่ 1 ไร่ จะให้ผลผลิตประมาณ 400-500 กิโลกรัม
การเก็บรักษา
หน่อไม้น้ำหลังการเก็บเกี่ยว ควรนำหน่อไม้น้ำมามัดเป็นมัดแล้วนำไปแช่น้ำหรือเก็บไว้ในที่เย็น ทำให้หน่อไม้น้ำสด การเก็บรักษาสามารถเก็บได้นาน 5-7 วัน
สำหรับผู้ที่สนใจจะทำการปลูกเลี้ยงหน่อไม้น้ำ สามารถติดต่อสอบถามและขอต้นพันธุ์ได้ที่ สถานีทดลองข้าวกระบี่ โทรศัพท์ 075-691120
ที่มา :
โปรแกรมคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันราชภัฏภูเก็ต
หน่อไม้น้ำพืชเสริมรายได้ที่ล้ำค่า ปรีชา อำนักมณี สถานีทดลองข้าวกระบี่ สถาบันวิจัยข้าว น.ส.พ.กสิกร ปีที่ 73 ฉบับที่ 5 กันยายน-ตุลาคม 2543
ป้ายคำ : ผักพื้นบ้าน