จุดหมายชีวิตแท้จริงที่ชายผู้นี้ยึดถือ คือ ความพยายามช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้หายจากโรคภัย โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท… ด้วยการรักษาแบบแพทย์วิถีธรรม
“การที่ชายคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อตนเองจาก “สำเริง มีทรัพย์” เป็น “ใจเพชร กล้าจน” ในทางหนึ่งเป็นความพยายามบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขายึดเหนี่ยว
หมอเขียว หรือ ใจเพชร กล้าจน จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เขาพยายามรักษาผู้ป่วยตามวิชาแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ แต่พอทำไปได้ชั่วระยะ คนเป็นหมอก็ต้องผจญกับคำถามในใจที่ไหนคำตอบกับตัวเองไม่ได้เสียที
หมอเขียวลองรักษาโดยวิเคราะห์ ธาตุร้อน – เย็น ด้วยตนเอง ให้ยาฤทธิ์เย็นมากขึ้นตามโลกที่ร้อนขึ้น เริ่มจากรักษาแม่ที่ปวดมดลูกให้หายได้ ทั้งที่แพทย์ปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นก็ใช้แนวทางดังกล่าวไปรักษาโรคมะเร็ง โรคไต โรคความดัน และบันทึกการรักษาทุกครั้ง ผลปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90 อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น เมื่อค้นพบว่าการรักษาที่ได้ผลจริงนั้น พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว หมอจึงประมวลความรู้ทั้งหมด และเรียกชื่อว่า “การแพทย์วิถีพุทธ”
ใจความของการแพทย์แผนนี้ คือ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ่าเป็นแก่นแกน นำจุดดีของการแพทย์ต่าง ๆ มารวมกัน โดยมีธรรมะเป็นตัวเชื่อมประสานบูรณาการ โดยมีหลักการ 3 ข้อ คือ ใช้สิ่งที่ประหยัดและเรียบง่าย มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา เพราะแก้ที่ต้นเหตุ และแต่ละคนทำเองได้ ไม่ต้องให้หมอรักษา แต่รักษาตัวเอง
ยา 9 เม็ดที่หมอเขียวใช้รักษาก็ไม่มีราคาค่างวด เพราะเป็นหลักปฏิบัติ 9 ประการที่ทำได้เอง ได้แก่ รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล แช่มือเท้าในน้ำสมุนไพร รับประทานอาหารปรับสมดุล ใช้ธรรมะคลายเครียด ออกกำลังกายกดจุดลมปราณรู้จักเพียรและพักให้พอดี ทำกัวซา ดีทอกซ์ และพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน เมื่อไม่ต้องเสียค่ายาแพง ๆ หรือเสียค่าหมอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “ศูนย์บาท รักษาทุกโรค”
ยา 9 เม็ด (เทคนิค 9 ข้อ )
๑. ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือ คลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ (ที่ค่ายสุขภาพนี้เขาเก็บสมุนไพรสดทุกวัน ทำน้ำคลอโรฟิลล์สดให้ดื่มได้ทั้งวัน สดชื่นมาก ไม่ขม ไม่เฝื่อน)
๒. การทำ กัวซา หรือการขูดพิษ ขูดลม ซึ่งเป็นการแพทย์ดั้งเดิมของชาวไทยภูเขา ชาวจีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซียและประเทศอื่นๆในแถบเพื่อนบ้านเรา มีประสิทธิภาพในการเอาพิษออกจากร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็นพิษจากเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อนขึ้นมาระบายพิษที่ผิวหนัง
การ กัวซา สามารถทำได้ทั่วตัว ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง น่าสนใจมากเพราะการขูดแล้วดูรอยปื้นที่ปรากฎขึ้นมายังสามารถบอกถึงการสะสมพิษของอวัยวะภายในสำคัญในบริเวณนั้นๆด้วย
๓. การสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์) ด้วยสมุนไพรที่เหมาะสม
๔. การแช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร เสริมกลไกของร่างกายตามธรรมชาติ เสริมกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่มีการขับพิษจำนวนมากออกทางมือทางเท้าอยู่แล้ว
๕. การพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบด้วยสมุนไพรที่ถูกกันกับร่างกายของเรา คือ เมื่อใช้แล้วต้องรู้สึกสบาย
๖. การออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารที่ถูกต้อง
๗. การรับประทานอาหารปรับสมดุลร่างกาย เพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้ ปรุงอาหารด้วยความร้อนต่ำ อาหารควรมีรสกลางๆไม่จัด ลด ละ เลิกพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม และอาหารแปรรูป เคี้ยวอาหารให้ละเอียดที่สุดและกลืนให้ลง กินอย่างมีสติ “กินแล้วรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง”
๘. ใช้ธรรมะทำใจให้สบาย ผ่อนคลายความเครียด รู้จักการปล่อยวาง
๙. รู้เพียรรู้พักให้พอดี
นอกจากเหนือจากมิติทางสุขภาพ หมอเขียวยังให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบพุทธอย่างครบวงจร ดังที่ได้สละพื้นที่กว่า 40 ไร่ เพื่อตั้ง “สวนป่านาบุญ” ซึ่งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง ใช้ปลูกข้าว ผัก พืชสมุนไพร เพื่อเตรียมความพร้อมในการพึ่งพาตนเองก่อนที่ต่อมาจะเปิดเป็นศูนย์สุขภาพให้ผู้คนเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการใช้ชีวิตตามแนววิถีพุทธอีกด้วย
ความตั้งใจทั้งหมดของหมอเขียว ไม่เพียงทำให้หลาย ๆ คนได้เห็นว่า ชีวิตที่ดี ไม่มีโรคภัย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ไปแลกหาจากการแพทย์สมัยใหม่ หากแต่ยังมีนัยไปถึงวิถีพุทธ วิถีไทย ในแบบที่เราเป็นนั่นเอง ที่เพียงพอแล้วสำหรับความสุข
ป้ายคำ : หมอเขียว, แพทย์วิถีธรรม