เครื่องปั้นดินเผา ปั้นดินให้เป็น…

12 สิงหาคม 2556 ภูมิปัญญา 0

ดินเหนียวเป็นดินชนิดหนึ่งที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผาพื้นเมือง ทั้งชนิดเคลือบและชนิดไม่เคลือบ เช่น กระถาง หม้อดิน โอ่ง อิฐ กระเบื้อง เป็นต้น เมื่อเผาดินเหนียวแร่บางชนิดในดินจะแปรสภาพ และยึดดินไว้ด้วยกัน สีของดินเผาก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดินเหนียวที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งต่างๆ ให้สีไม่เหมือนกัน เช่น ดินเหนียวเกาลิน จากลำปาง จะให้เครื่องปั้นดินเผาเป็นสีขาว ดินเหนียวจากราชบุรีให้สีแดง ดินเหนียวขากด่านเกวียนให้สีเหลือง น้ำตาลอมม่วง หรือน้ำเงิน

เครื่องปั้นดินเผานั้นเกิดขึ้นได้เนื่องจากความจำเป็นและความต้องการของมนุษย์ ซึ้งแต่เดิมคงทำขึ้นเพื่อเป็นภาชนะใส่อาหารและน้ำ ต่อมามนุษย์ก็พัฒนาเครื่องปั้นดินเผาให้มีคุณภาพดีขึ้นและประโยชน์ใช้สอยของเครื่องปั้นดินเผาก็เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน

สันนิษฐานกันว่าเครื่องปั้นดินเผาในยุคแรกๆ อยู่ในช่วงเวลาราวๆ 1500 BC ก่อนคริสตกาล ได้พบหลักฐานผลิตภัณฑ์ประเภทอิฐ (ใช้ในการก่อสร้าง) ครั้งแรกที่ประเทศบาบีโลเนีย เอสซีเรีย อียิปต์ และประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งในแถบนี้มีความก้าวหน้าในเรื่องเครื่องปั้นดินเผากันมาก รู้จักวิธีใช้ดินแดง ดินดำ ดินขาว มาตกแต่งผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะประเทศจีนมีความก้าวหน้าดีพอสมควร

pandinsoa

ประวัติเครื่องปั้นดินเผาของจีนเริ่มในสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งในสมัยนั้นเครื่องปั้นดินเผายังไม่มีการเคลือบ แต่ต่อมาก็มีการเคลือบเกิดขึ้นทั้งชนิดเคลือบตะกั่ว และเคลือบด่าง

ในราชวงศ์ถังมีการทำเคลือบได้หลายๆ สี ในสมัยซ้องสมัยย่วนและมิง มีการเคลือบแบบกังใสอีกด้วย (เคลือบปอร์สเลนที่เผาอุณหภูมิสูง) มีการเคลือบสีแดงครั้งแรกเกิดขึ้นและจีนได้ประสบความสำเร็จในการทำเคลือบสีต่างๆ สีที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นคือ แดง น้ำเงิน และเขียว

ส่วนในประเทศยุโรปก็ได้ทำเครื่องปั้นดินเผานานมาแล้ว ประเทศแรกที่ให้ความสนใจมากคือ อิตาลี ได้ทำเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหยาบและมีความพรุนตัวสูง เรียกว่า เมโจริก้า ต่อมาฝรั่งเศสก็ได้ทำเครื่องปั้นดินเผาลักษณะเช่นเดียวกับอิตาลี เรียกว่า แฟร์ออง อยู่ในราวศตวรรษที่ 17 ชาวยุโรปพยายามทำปอร์สเลนแบบจีน แต่เนื่องจากใช้ดินแดงทำจึงไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมายุโรปได้พบดินขาวชนิดเกาลินขึ้น จึงตั้งชื่อว่า CHINA STONE ต่อมาโจเฮ็น เปรดดริค โบสเจอร์ได้ทำเครื่องปั้นดินเผาปอร์สเลนจนสำเร็จ และได้ตั้งโรงงานขึ้นเป็นครั้งแรก

pandins

ช่างที่ทำด้วยชามสังคโลกขึ้นเป็นครั้งแรกคือคนจีน ในประเทศไทยมีเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ เครื่องสังคโลกมีลักษณะเหมือนถ้วยชามของจีนในสมัยปลายแผ่นดินซ้อง เป็นชนิดเคลือบทึบ ต่อมาเมื่อสุโขทัยอยู่ภายใต้อยุธยา ฝีมือการทำเครื่องปั้นดินเผาก็เสื่อมลงเป็นแค่การปั้นดินหยาบๆ เท่านั้นปัจจุบันการทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นที่สนใจอย่างแพร่หลาย มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำเครื่องปั้นดินเผาเกิดขึ้นหลายแห่งส่วนหน่วยงานรัฐบาลที่ช่วยส่งเสริมค้นคว้าวิจัยได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์ สภาวิจัยแห่งชาติ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและศูนย์วิจัยเครื่องปั้นดินเผา

ความหมายของเครื่องปั้นดินเผา
ในสายตาของคนทั่วไปเครื่องปั้นดินเผาเป็นเพียงแค่ภาชนะต่างๆ ต่างเท่านั้น บ้างก็มองทางเชิงศิลป์ว่าเป็นของตกแต่งที่สวยงามหรือเป็นโบราณวัตถุที่ควรค่าต่อการเก็บรักษาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วใช่ว่าจะมีเพียงความหมายเฉพาะที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดินและหินที่ผ่านกรรมวิธีเผาให้คงทนแข็งแรง ซึ่งรวมไปถึงอุตสาหกรรมการทำแก้ว โลหะเคลือบ การทำซีเมนต์ ปูนขาวปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น ซึ่งนับว่ามีประโยชน์เช่นกัน

ประวัติความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผาไทย
ยุคหินกลาง พบเครื่องปั้นดินเผาผิวเคลือบมีความเงาและเครื่องปั้นดินเผา ลายเชือกทาบ
สมัยหินใหม่ พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีรูปแบบและลวดลายแปลกใหม่เพิ่มขึ้นทีมีทั้งลายเรียบๆ ธรรมดาไปจนถึงลายที่มีความวิจิตรงดงามมาก ภาชนะสมัยหินใหม่ตอนต้นมีจุดเด่นคือ มีที่รองรับถาวร บ้างก็เป็นขากลวง 3 ขา มีรูเจาะไว้ 3 รู เพื่อไล่อากาศ
ยุคโลหะ ในยุคนี้ได้ถือเอางานเครื่องปั้นดินเผาเป็นหัตถกรรมดั้งเดิม ที่ค่อยๆ วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีขึ้นเรื่อยๆ

เครื่องปั้นดินเผาที่นิยมมากในวัฒนธรรมของซานคือ การทำลายเส้นขนาน ลายรูปสามเหลี่ยม ลายก้นขด ลายวงกลม ลายทแยง
เครื่องปั้นดินเผาสมัยทวารวดี แบ่งออกเป็น 6 ระยะดังนี้

  • ระยะที่ 1 ใช้เหล็กสัมฤทธิ์ทำเครื่องปั้นดินเผาแบบต่างๆ
  • ระยะที่ 2 เครื่องปั้นดินเผาในระยะนี้ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เป็นแบบเรียบสีแดง
  • ระยะที่ 3 ได้พบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบที่เก่าแก่ที่สุดที่ ต. จันเสน พยุหะคีรี พบวัตถุชิ้นเล็กๆ 2 ชิ้นเคลือบสีน้ำตาลอมเขียวเนื้อแกร่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นดินเผาอื่นที่เนื้อแกร่งและสีมัน สวยงามมาก
  • ระยะที่ 4 ได้พบเครื่องปั้นดินเผามากขึ้น แสดงว่า ต.จันเสน ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ แล้ว
  • ระยะที่ 5 พบรูปสิงโตดินเผา รูปปั้นผู้ชาย เครื่องปั้นดินเผาในยุคนี้แบ่งเป็น 2 แบบคือ
    แบบที่ 1 : พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายต่างๆ ประทับอยู่ เช่น ลายช้าง หงส์ วัวและนักรบ
    แบบที่ 2 : พบไหปากผาย รอบปากสีแดงและขาว
  • ระยะที่ 6 พบเครื่องปั้นดินเผาเพียง 2 3 แบบ แต่ดูเหมือนว่าจะเผาในเตาอย่างแท้จริง ไม่ได้เผากลางแจ้งเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เผาเคลือบแต่ก็เผาได้อย่างสม่ำเสมอและแข็งดี

เครื่องปั้นดินเผาในสมัยศรีวิชัย พบเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณสนามบิน
เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรี ได้พบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีน้ำตาล (ไทยขอม) เป็นทั้งรูปคนและสัตว์ และเครื่องปั้นดินเผาสีน้ำตาลและน้ำเงินอ่อนคล้ายสังคโลก
เครื่องปั้นดินเผาเชียงแสน ยุคนี้สามารถทำเคลือบได้หลายชนิด ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนความคิดระหว่างไทยกับจีน
เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย มีการทำเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงเลียนแบบจีนเป็นสินค้าส่งออก อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าสังคโลก การผลิตเป็นการทำงานแบบอุตสาหกรรม สีของเครื่องเคลือบมักเป็นสีเขียวไข่กามีสีน้ำตาลบ้างประปราย อีกทั้งยังพบเตาเผาถึง 49 เตา ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าในสมัยสุโขทัยได้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาเป็นอุตสาหกรรม

แหล่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา มีอยู่หลายแห่ง เช่น

  • ดินขาว – ลำปาง สุโขทัย สวรรคโลก ชลบุรี
  • ดินเหนียว – ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี นครราชสีมา
  • ควอรตซ์ – เชียงใหม่ กำแพงเพชร ลพบุรี ปราจีนบุรี จันทบุรี ระยอง
  • เฟลด์สปาร์ – เชียงใหม่ ชลบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครศรีธรรมราช

ขั้นตอนการทำเครื่องปั้นดินเผา มีขั้นตอนดังนี้

1.วัตถุดิบ คือ ดินซึ่งได้จากท้องนา การสังเกตดินที่ดี คือ ต้องมีสีดำเป็นมันเลื่อม และหน้าแล้งจะแตก ท้องนาบางแห่งต้องขุดเอาหน้าดินออกก่อนขั้นต่อไปจึงใช้ได้ แต่ที่นาบางแห่งหน้าดินใช้ได้ เมื่อถางหญ้าหรือกอฟางออกแล้วก็ขุดไปใช้ได้เลย การขุดจะทำให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋ากว้าง ประมาณด้านละ 4นิ้ว – 9 นิ้ว ดินที่ซื้อขายในอดีตขายเป็นเกวียน

pandintool

2.การเตรียมดิน นำดินมาทุบให้ละเอียดใส่ลงเป๊าะ (ตะกร้า) นำไปแช่นี้ในหลุมที่ทำไว้โดยแช่ไว้ 1 คืน ตอนเช้าก็เอามานวดผสมทราย อัตราส่วนประมาณดิน 3 ส่วนต่อทราย 1 ส่วน

  • การหมักดินเมื่อขุดดินมาจากแหล่งดินแล้วจะนำดินมาผสมกันในอัตราส่วน ดินเหนียวมาก 2 ส่วน ดินเหนียวน้อย 1 ส่วน แยกเศษไม้ เศษหินออกรดน้ำให้ชุ่มแล้วนำไปหมักในหลุมขนาด 1×1 เมตร ลึก 20 ซม.โดยใช้เวลาหมัก 24 ชั่วโมงอย่างน้อย
  • การนวดดินนำดินเข้าเตรียมนวด และเครื่องนวดก็จะรีดดินออกมา เป็นท่อนๆ(ในสมัยโบราณการนวดดินจะใช้หนังควายหรือไม้กระดานทับบนเนื้อดินช่างนวดจะใช้เท้าเหยียบไปมาจนกว่าเนื้อดินจะเข้ากัน) หลังจากนั้นจะรีดดินเป็นท่อนๆขนาดยาวประมาณ 25 – 30 ซม. กว้างประมาณ 8 ซม. เรียกว่า ล่อ ซึ่งเป็นตัวกำหนดขนาดของภาชนะที่จะปั้นรดน้ำให้ชุ่มห่อพลาสติกเก็บไว้ 2 วัน (สมัยโบราณใช้ใบตอง กระสอบ ห่อเก็บไว้ในโอ่ง หรือไห)

pandindin

3.การขึ้นรูปและการปั้นหม้อดินเผา วิธีการขึ้นรูปจะกดดินเป็นแผ่นกลมเป็นส่วนก้นหม้อวางบนแป้นไม้ที่ผังแน่นม้อหรือพาชนะที่สูงขนาดแทนตอไม้ได้ แล้วปั้นดินเหนียวให้กลมยาวนำมาวางเป็นวงกลมบนส่วนก้นหม้อ ใช้มือบีบดินวงกลมให้เป็นทรงกระบอกใช้ไม้สำหรับตกแต่งกับมือขึ้นรูปหม้อต่อไป
การขึ้นรูปและปั้นจะวางชิ้นวางไว้บนตอไม้แล้วปั้นโดยการเดินรอบตอไม้ แทนการใช้แป้นหมุน ดังจะลำดับขั้นตอนการปั้นหม้อดินเผาดังนี้pandinpans

  • 3.1.ก่อปาก เป็นการขึ้นรูปครั้งแรก ต่อจากการทำก้นหม้อ เป็นรูปแบนวงกลมต่อไปก่อขอบดินกลมยาวที่คลึงให้เป็นลักษณะแท่งนำมาก่อขึ้นรูป ขั้นตอนนี้จะต้องเดินหมุนรอบติไม้แทนแป้นหมุนจะเป็นรูปทรงกระบอก แล้วแต่งให้กลมเรียบมีปากหม้อเพียงส่วนเดียวที่มองเห็นว่าเป็นปกหหม้อดิน ทำลักษณะนี้เหมือนกันทุกใบจนหมด แล้วผึ่งลมไว้ในที่ร่ม
  • 3.2.ไห่ไหล่ปากหม้อ ให้หินกลมรองข้างในใช้ไม้ตีข้างนอกให้ได้รูปหม้อส่วนบน แล้วตีด้วยไม้ทำลายนำไปผึ่งลม นำกลับมาทำเกลียวลานนูนด้วยดินเส้นกลมนำไปผึ่งลมอีกครั้งหนึ่ง
  • 3.3.ไห่ก้น ใช้กินรองข้างในใช้ไม้ตีข้างนอกให้ก้นหม้อเป็นรูปกลม ขั้นตอนนี้ถ้าปั้นหม้อต่อม หม้อสาว หม้อแกง หม้อแกงแลว หม้อต้น หม้อน้ำป๋อย จะเสร็จสมบูรณ์ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าเป็นการปั้นหม้อน้ำดอก ผึ่งลมต่อไปเพื่อทำขั้นตอนต่อไป คือ ติดส่วนก้น เอาดินติดส่วนก้นทำเป็นฐานสำหรับตั้งหม้อน้ำดอก ก็เสร็จเป็นหม้อดินเผา (หม้อน้ำดอก) 1 ใบ

pandinpan

pandinpak

4.การตกแต่ง โดยใช้ ไม้ขีดลงบนภาชนะ ที่ปั้นในขณะที่พะมอนหมุน แต่ในปัจจุบันมีการเพิ่มลวดลายใหม่ตามจินตนาการของช่างปั้น ปัจจุบันแยก ออกเป็น 3 แบบคือ การ การขูด การฉลุ และการปั้นแปะ โดยการใช้น้ำโคลนของดินชนิดเดียวกัน เป็นตัวประสานลายที่ปั้นแปะ
การย้อมสี มีการนำเอาดิน สีแดงมาละลายน้ำแล้วทาหม้อดินให้เป็นสีแดง เพื่อความสวยงาม
การผึ่ง นำภาชนะที่ขึ้นรูปเสร็จแล้วไปผึ่งที่โรงผึ่งซึ่งสร้างเป็นโรงหญ้าหลังคาคลุมถึงพื้นป้องกันลม แดด ฝน พื้นเป็นทรายใช้เวลาผึ่งตามฤดูการ ฤดูแล้ง 15 – 20 วัน ฤดูฝน 30 วัน

pandinpankon

pandinpaksed
pandinkatang

5.การเผาใช้ลานกว้างบริเวณบ้าน ก่อนจะเผาจะต้องเอาหม้อดินตากแดดให้ร้อนเสียก่อน หากวันไหนไม่มีแดดก็เผาไม่ได้ ใช้เศษหมอดินเผาที่แตกรองพื้นดิน เอาหม้อดินลงเรียง ซ้อนกันแล้วเอาไม้และฟาง ปกคลุมให้ครอบคลุมหม้อดินเผาให้หมด แล้วคลุมด้วยขี้เถ้าเสร็จแล้วจุดไปตรงขอบที่ติดดินรอบ ๆ กอง

ในสมัยโบราณ ชาวบ้านจะขุดเตาบริเวณจอมปลวกลึกลงไปใต้ดินโดยใช้ปากปล่องจอมปลวกเป็นปล่องเตา เรียกว่า เตาทุเรียง แต่ในปัจจุบันนิยมใช้เตาเผาซึ่งทำจากอิฐดิบ แต่ยังคง สภาพลักษณะของเตาเป็นแบบดั้งเดิมอยู่ เพียงแต่มีข้อแตกต่างลักษณะเดียว คือเตาเผาปัจจุบันอยูบนผิวดิน

การสร้างเตาเผาเครื่องปั้นดินเผาแบบต่างๆ มีหลักสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอยู่ 4 ประการ ได้แก่
ให้ได้อุณหภูมิในกำหนดเวลาและรักษาอุณหภูมิให้อยู่คงที่ได้ตามที่ต้องการ
ให้อุณหภูมิภายในส่วนต่างๆ ของเตาเผาได้ตามที่ต้องการ และเร่งความร้อนได้ตามส่วนต่างๆของเตาเผา
สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาทางเคมีของชิ้นงานในเตาเผา เผาให้ได้อุณหภูมิสูงโดยใช้เชื้อเพลิงน้อย

pandinkaw

การเผาแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ แบ่งตามอุณภูมิของไฟ

  • ไฟต่ำ หรือชาวบ้านเรียกว่า ลุ่ม อุณหภูมิประมาณ 0 – 300 องศาเซลเซียส โดยใช้ท่อนไม้ขนาดใหญ่ 3 ท่อน เผาหน้าปากเตาประมาณ 12 ชั่วโมง
  • ไฟกลาง หรือชาวบ้านเรียกว่า อุด อุณหภูมิประมาณ 300 – 900 องศาเซลเซียส โดยใช้ไม้เล็กๆ เผาต่อบริเวณปากเตาประมาณ 6 ชั่วโมงสังเกตุจะเห็นละอองขาวที่ปากปล่อง
  • ไฟใหญ่ หรือชาวบ้านเรียกว่า ลงไฟอุณหภูมิประมาณ 900 – 1,300 องศาเซลเซียส โดยใช้ไม้เผาภายในเตาประมาณ 6 ชั่วโมง

pandinpaw

ป้ายคำ :

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมวด ภูมิปัญญา

แสดงความคิดเห็น