ไร่หมุนเวียน เป็นระบบเกษตรที่บ่งบอกความสัมพันธ์ของคน กับ ข้าวไร่ อย่างลึกซึ้ง ข้าวไร่ไม่ได้เป็นเพียง พืชเกษตร ที่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เพียงเท่านั้น คุณค่าของ ข้าวไร่ ของชาวบ้านมีความต่อชีวิต จึงมีวิถีปฏิบัติผ่านพิธีกรรม ความเชื่อ ในการทำไร่หมุนเวียน และการดำรงชีวิตอย่างเคร่งครัด ชุมชนเคารพ ข้าวไร่ ในฐานะธรรมชาติผู้มีพระคุณ มีตำแหน่งในทางความเชื่อสูงกว่ามนุษย์ปุถุชน คนธรรมดา
องค์ความรู้ ภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น มีความจำเป็นยิ่งต่อการทำไร่หมุนเวียน คือ ความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมพืช ความรู้เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความรู้เกี่ยวกับสภาพป่า และความรู้เกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาและการสืบทอดการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ชาวบ้านสามารถเลือกพื้นที่ทำไร่ เลือกพันธุกรรมพืชที่เหมาะสมกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสามารถเลือกช่วงเวลาในการทำการเพาะปลูกที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ ผ่านการจัดวางระบบกฎเกณฑ์ในการจัดความสัมพันธ์ การทำไร่หมุนเวียนของชุมชน ซึ่งแสดงออกในรูปของสิทธิ ที่สำคัญคือ สิทธิในที่ดินทำกิน เช่นอำนาจเหนือพื้นที่ทำไร่ โดยในอดีตเชื่อว่า ผีเป็นเจ้าของที่ดิน หรือที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวมของชุมชน แต่ปัจจุบันที่ดินเป็นของส่วนตัวมากขึ้น การควบคุมที่ดินทำกินอยู่ในการควบคุมของเครือญาติ ตระกูล หรือครอบครัว
ระบบไร่หมุนเวียน (Swidden / Rotational framing system) เป็น ระบบเกษตรกรรมแบบพื้นบ้านที่กระจายอยู่ในหลายวัฒนธรรม ปัจจุบันนั้นหลงเหลืออยู่ในหมู่ชาวเขา บนที่สูงของภาคเหนือและตะวันตกของประเทศ โดยเป็นระบบการเพาะปลูกในพื้นที่หนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นจะย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ใหม่ เพื่อให้พื้นที่เดิมเริ่มฟื้นความอุดมสมบูรณ์ แล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง อาจจะทุก ๆ 5-9 ปี แล้วแต่สภาพพื้นที่ และวัฒนธรรมของชนเผ่า การปลูกพืชในระบบไร่หมุนเวียนเป็นการปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยมีข้าว ผัก และพืชใช้สอยต่าง ๆ ปลูกรวมกันอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก และอาจถือได้ว่าเป็นรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืน ที่สามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้มากที่สุดระบบหนึ่ง ในขณะที่เกษตรกรที่รักษาระบบเกษตรกรรมเช่นนี้มีกฎเกณฑ์ ที่จะต้องเคารพคุณค่า และนอบน้อมต่อธรรมชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า ใช้ประโยชน์จากน้ำ ต้องรักษาน้ำ ใช้ประโยชน์จากป่า จักต้องรักษาป่า เป็นต้น
ระบบไร่หมุนเวียนตกอยู่ภายใต้วิบากกรรมมาเนิ่นนาน ด้วยถูกเข้าใจว่าเป็นระบบไร่เลื่อนลอยที่ทำลายป่าไม้บนพื้นที่สูง ทั้ง ๆ ที่ เป็นระบบที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ ด้วยภูมิปัญญาของผู้คนที่อาศัยดำรงวิถีชีวิตใกล้กับธรรมชาติ และยังให้ความเคารพต่อธรรมชาติมากกว่าเกษตรกรกลุ่มใด ๆ
การฟื้นฟูไร่หมุนเวียนให้ดำเนินไปได้โดยสามารถตอบสนองต่อการผลิตอาหารและ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูง รวมทั้งเป็นการให้การยอมรับต่อสิทธิของชุมชนท้องถิ่นที่ได้ระบุไว้ในรัฐ ธรรมนูญ (1)
หลักการของ “ระบบไร่หมุนเวียน” (2)
ระบบนี้เน้นการปลูกข้าวไร่เป็นพืชหลัก ผสมกับการปลูกพืชอาหารท้องถิ่น เช่น พริก มะเขือ งาดำ ฟักเขียว ฟักทอง น้ำเต้า มะระ ถั่วเขียว ถั่วดำ ข้าวโพด พืชตระกูลแตง และพันธุ์ข้าวพื้นบ้านกว่า 40-50 สายพันธุ์ เตรียมพื้นที่ด้วยการตัดฟันและเผาก่อนการปลูกข้าวไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จึงย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปแปลงอื่นที่ได้ปล่อยไว้ให้พักตัวแล้ว และปล่อยให้พื้นที่ซึ่งเพิ่งทำการผลิตได้มีการพักตัวตามธรรมชาติ โดยอาศัยกลไกธรรมชาติจากพื้นที่ป่าที่อยู่โดยรอบแปลงในการพื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งรูปแบบการจัดการแปลงมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1. การทำไร่แบบแปลงรวม
ชาวบ้านในชุมชนจะใช้พื้นที่ไร่เหล่าผืนเดียวกันทำไร่ในแต่ละปี ไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ชัดเจน แต่ละครอบครัวอาจหมุนเวียนไปทำพื้นที่เดิมหรืออาจจะเป็นครอบครัวใหม่เข้ามา ทำแทนได้
2. การทำไร่แบบแปลงกระจาย
การทำไร่แบบนี้แต่ละครอบครัวเลือกพื้นที่ไร่เหล่าที่เหมาะสมเพื่อทำไร่ โดยไม่ได้ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน แต่กระจายเป็นหย่อมๆ ที่ดินมักมีเจ้าของในระดับครัวเรือน
ขั้นตอนระบบไร่หมุนเวียน ประกอบด้วย การเลือกพื้นที่ (ก.พ.-มี.ค.) การฟันไร่ (มี.ค.) การเผาไร่และริบไร่ (เม.ย.) การเพาะปลูก (พ.ค.) การเอาหญ้า (ประมาณ 3-4 รอบ พ.ค.-ก.ย.) การเก็บเกี่ยวและตีข้าว (ต.ค.-พ.ย.) ซึ่งความยั่งยืนของการเกษตรรูปแบบนี้อยู่ที่การปล่อยให้แปลงไร่หมุนเวียนได้ มีการพักตัวตามธรรมชาติเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ก่อนที่จะมีการหมุนเวียนกลับมาใช้พื้นที่เดิมทำการเพาะปลูกอีกครั้ง และการเตรียมพื้นที่โดยใช้องค์ความรู้ในการจัดการ ได้แก่ ตัดต้นไม้เหลือตอไว้ให้สามารถแตกกอใหม่ได้ ไม่ตัดฟันไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ควบคุมการเผาไม่ให้ไฟลุกลามออกไปนอกแปลงปลูก
ระบบ ไร่หมุนเวียนเน้นการเพาะปลูกพืชอาหารสำหรับไว้บริโภคในครัวเรือน แต่ไม่เน้นการสร้างผลผลิตส่วนเกินสำหรับขาย ไร่หมุนเวียนจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่รองรับ เพื่อให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูที่ดินหลังการเพาะปลูก ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญ เพราะปัจจุบันรัฐมีนโยบายการอนุรักษ์ป่าและควบคุมการใช้พื้นที่สูงอย่างเข้ม งวด
ไร่หมุนเวียน เป็นองค์ความรู้ที่พัฒนาให้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งมีกระบวนการส่งเสริมวิถีชีวิตที่น่าสนใจ และปัจจุบัน ประชาชนหลายส่วนยังเข้าใจผิดว่า การทำไร่หมุนเวียน เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่ที่จริงเป็นวิธีการอยู่รวมกันกับธรรมชาติแบบยั่งยืน โดยการทำไร่หมุนเวียน เป็นระบบการทำไร่ของชาวกะเหรี่ยงมีการหมุนเวียนใช้เวลาประมาณ 7- 10ปี เพื่อทำให้ระบบนิเวศที่ถูกทำลายไปเหล่านั้น มีการฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิม ซึ่งในไร่จะมีการปลูกพืชหลายชนิดในไร่ เช่น พันธุ์ข้าวประมาณ 2-3ชนิด ถั่วประมาณ 2-3ชนิด แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว เครื่องเทศหลายชนิด เป็นต้น
การทำไร่หมุนเวียนชาวปกากะญอและโพล่ว
ชาวปกากะญอและโพล่วในแถบอุ้มผางดำรงชีพด้วยการทำไร่ข้าวเป็นหลัก บางส่วนทำนา แต่ยังคงต้องทำไร่ข้าว ในไร่ข้าวนอกเหนือจากการปลูกข้าวแล้ว ชาวบ้านจะปลูกพืชอีกหลายชนิด เช่น ผัก เครื่องหอม แตง มะเขือ ฟัก ยาสูบ งา เป็นต้น สำหรับการบริโภค รวมทั้งจะปลูกไม้ประดับ เช่น ดาวเรือง ดังนั้นไร่ข้าวของพวกเขาจึงไม่ใช่เพียงแหล่งผลิตอาหาร แต่เป็นวิถีชีวิต
ความเคารพและยอมรับภายในสังคม ลำดับแรก คือ ความสามารถในการผลิต มีข้าวเพียงพอกับการบริโภค ลำดับต่อมา คือ ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ การช่วยเหลือบุคคลอื่น การบำเพ็ญประโยชน์ ผู้อาวุโสที่ได้รับการยอมรับต้องมีสิ่งนี้เหล่านี้เป็นจริยธรรมเบื้องต้น ความรู้อื่นเป็นส่วนประกอบ
วิธีการทำไร่ที่นี่เหมือนกับชาวปกากะญอในพื้นที่อื่นคือ การทำไร่หมุนเวียน โดยการถางไร่และเพาะปลูกเพียง 1 ฤดูกาลและปล่อยไว้ให้ป่าฟื้นตัว 7 10 ปี จึงย้อนกลับมาทำใหม่ ระบบการผลิตนี้ทำให้ป่ามีโอกาสได้พักฟื้นและยั่งยืน ในลุ่มแม่จันพวกเขาได้อยู่อาศัยมามากกว่า 200 ปี ป่ายังคงอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านที่นี่ตั้งคำถามว่า “ไล่ตังคุกับกรุงเทพฯ ตั้งขึ้นวันเดียวกัน เดี๋ยวนี้ กรุงเทพฯมีป่าหรือเปล่า ที่นี่พวกเราอยู่กับป่าและรักษาป่าให้ลูกหลาน
ข้าวกับชีวิต
วิถีชีวิตของชาวปกากะญอและโพล่วแสดงออกในรูปวัฒนธรรมข้าว การยอมรับจากสังคมคือ ต้องไม่ไปขอข้าวคนอื่น ชาวบ้านที่นี่กล่าวถึงคำสอนของคนรุ่นพ่อแม่ว่า “อยากกินข้าวอร่อยก็ต้องทำไร่ให้เก่ง อยู่บ้านขอเพียงมีข้าวพอกิน เก็บผักหญ้ามากมายรอบบ้าน เพียงเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว ทุกข์ของคนกะเหรี่ยงก็คือการที่ไม่มีข้าวกิน ดังนั้นถ้าอยากจะมีความสุข ก็ต้องปลูกข้าวให้เก่ง จะได้ไม่ต้องไปขอเขา” (3) และเพิ่มเติมว่า “ในเมื่อเราเป็นคนทำไร่ทำนาเหมือนกัน ถ้าต้องไปขอข้าวคนอื่นจะเป็นเรื่องน่าอับอายมาก”
ในการอบรมสั่งสอนภายในสังคมเกี่ยวกับการเพาะปลูก ได้สะท้อนผ่านนิทานเรื่องหนึ่ง
มีครอบครัวหนึ่งลูกชายชอบเที่ยวเตร่ ไม่ชอบทำไร่ทำนา และไม่อยากอยู่ในหมู่บ้าน วันหนึ่งได้บอกกับพ่อแม่ว่าจะออกไปทำงานรับจ้างหาเงินหาทองมา จะได้ร่ำรวย พ่อแม่ได้ยินก็พากันคัดค้านและขอร้องลูกชายว่าอย่าไปเลย ที่บ้านก็มีข้าว มีผัก มีหญ้า มีถั่ว มีงา ขอเพียงขยันทำไร่ ก็พออยู่พอกินแล้ว แต่ลูกชายไม่เชื่อ ดื้อรั้นที่จะออกไปหางานทำภายนอก ลูกชายได้หายไปนาน จนกระทั่งวันหนึ่งได้กลับมาพร้อมกับเพื่อน ได้คุยอวดคุยโตถึงการออกไปทำงานหาเงินได้มากมาย พ่อแม่ได้ฟังแล้วก็รู้สึกเสียใจ เมื่อถึงเวลาอาหาร แม่ก็ได้ยกเอาสำรับออกมาเลี้ยงดูลูกชายและเพื่อน ในสำรับที่ยกออกมานั้นมีแต่เหรียญสตางค์เต็มไปหมด
การเลือกพื้นที่
ชาวปกากะญอและโพล่ว จะเริ่มถางไร่ในแรม 8 ค่ำเดือน 2 ประมาณปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ พวกเขาจึงต้องออกมาเลือกพื้นที่สำหรับการถางไร่ก่อนหน้าเริ่มฟันไร่เล็กน้อย
วิธีการเลือกพื้นที่แสดงให้เห็นถึงความรู้เกี่ยวกับป่าและวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ถ้ามีโอกาสอยู่ที่สูงใกล้หมู่บ้านจะมีโอกาสเห็นแนวป่าที่เป็นสีเขียวเข้มและสีเขียวอ่อน นี่เป็นวิธีการจัดสรรพื้นที่ป่าสำหรับการเพาะปลูกและป่าต้นน้ำ รวมถึงอาณาบริเวณของหมู่บ้าน
พื้นที่ป่าไร่เลา
ตามปกติแบ่งการใช้สอยป่าอย่างง่ายได้เป็น
ข้อกำหนดการเลือกพื้นที่ถางไร่
ตามปกติคนที่นี่จะเลือกทำไร่ในไร่เลาหรือไร่เก่าที่ปล่อยทิ้งร้าง ไม่ถางไร่ในป่าดงที่ไม้ใหญ่มาก เนื่องจากป่าดงให้ปุ๋ยมากเกินไปทำให้ข้าวเจริญงอกงาม แต่ไม่ให้รวงข้าว หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “บ้าใบ” ในปัจจุบันมีการบุกรุกป่าดงสำหรับการปลูกพริกเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจ กรณีเป็นผลจากการพัฒนาที่ส่งผลกระทบกับแนวดั้งเดิมของคนในถิ่นนี้
เมื่อเลือกที่ได้เรียบร้อยแล้ว จะมีการเสี่ยงทายและจองที่ด้วยบากไม้เป็นเครื่องหมาย ในคืนนั้นถ้าฝันไม่ดีจะถือว่าพื้นที่นั้น ซึ่งจะต้องหาพื้นที่ใหม่ ถ้าฝันดีจะถือว่าได้รับอนุญาต
ก่อนหน้าการถางไร่ต้องทำพิธีบอกกับ ซ่งธะรี หรือแม่ธรณี และเจ้าป่าเจ้าเขาอีกครั้ง ถ้าเกิดลางไม่ดีต้องหาพื้นที่ใหม่ การเลือกพื้นที่มีนัยยะมาก เนื่องจากมีผลกับการดำรงชีวิตในปีต่อไป
การถางไร่
การถางไร่ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ตามปกติจะเสร็จสิ้นปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นมีนาคม จากนั้นตากไร่เป็นเวลาประมาณ 1 เดือนให้ไม้แห้งสนิท ถ้าสมาชิกในหมู่บ้านถางไร่ไม่ได้ เช่น เจ็บป่วย ชาวบ้านจะมาช่วยถางไร่ เนื่องจากการถางเริ่มต้นล่าช้าหรือเสร็จล่าช้าจะมีผลการเผาไร่ ปัจจุบันในลุ่มแม่จันยังมีการช่วยเหลือภายในชุมชนหลงเหลืออยู่
การถางไร่
เมื่อถึงช่วงขึ้นเดือน 5 จะเป็นเวลาการเผาไร่ ช่วงหลังจากนี้จะเข้าช่วงเดือน ตาลา หรือเมษายน ตาปกติจะมีฝนตกเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงเป็นข้อกำหนดต่อช่วงการถางไร่ ในเดือนนี้ ชาวโพล่วถือเป็นเดือนปีใหม่และเป็นเดือนมงคล จะไม่มีกิจกรรมอัปมงคล
ชาวบ้านทั้งหมดต้องการให้ไหม้ดีในการเผาไร่ เพราะวัชพืชไม่มาก ข้าวงามดี หลังการเผ่าไร่เป็นการรื้อไร่ ในช่วงหลังเดือนพฤษภาคม งานนี้เป็นการเก็บรวบรวมไม้ที่ไหม้ไฟไม่หมดมากองและเผา
การหยอดข้าว
การหยอดข้าวเริ่มในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถึงต้นเดือนมิถุนายน การเลือกช่วงเวลาจะพิจารณาฝนตกจนดินชุ่มฉ่ำและคาดว่าจะมีฝนตกต่อเนื่อง เนื่องจากการหยอดข้าวแล้วฝนแล้ง นกจะมากินข้างเชื้อที่หยอดไว้ การคาดการณ์ฝนตกจะใช้พฤติกรรมสัตว์บางชนิด เช่น หิ่งห้อยบินสูงกว่าปกติแสดงว่าฝนจะเริ่มตก หรือเริ่มได้ยินเสียงกบในป่า
ก่อนการหยอดข้าว เจ้าของไร่ต้องทำพิธีบอกกับพิบุ๊โย หรือแม่โพสพ เพื่อให้พิบุ๊โยลงจากสวรรค์มาคุ้มครองรักษาต้นข้าวให้ปราศจากโรคและศัตรูพืชเบียดเบียน จนกระทั่งเก็บเกี่ยวและนำข้าวขึ้นยุ้งฉาง จากนั้น พิบุ๊โย จะกลับไปสถิตย์บนสวรรค์อีกครั้งหนึ่งจนกว่าฤดูกาลผลิตต่อไป
เมื่อถึงเวลาหยอดข้าวก็จะไปช่วยกันให้เสร็จทีละครอบครัว วันที่หยอดข้าวต้องเป็นวันมงคล การลงมือหว่านข้าวเจ้าของไร่จะเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกแม่ข้าว โดยชายหนุ่มจะปักหลุมและหญิงสาวจะหยอดข้าว ชายหนุ่มผู้ซึ่งปักหลุมจะไม่สามารถหยอดข้าวได้เลยในตลอดวันนั้น และหญิงสาวผู้ซึ่งหยอดข้าวจะไม่สามารถปักหลุมได้ เมื่อเสร็จแล้วหากยังมีเชื้อข้าวเหลืออยู่ในมือของผู้หยอดข้าว เจ้าของไร่จะบอกกับพวกเขา ให้เก็บรวมกันไว้ในกระชุ หญิงสาวผู้หยอดข้าวแรกจะหยิบมาหน่อยหนึ่ง แล้วหยอดเป็นหลุมสุดท้าย จากนั้นก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อหยอดข้าวเสร็จ ในบางพื้นที่จะมีพิธีกินเชื้อข้าว โดยเจ้าของไร่จะนำเชื้อข้าวที่เหลือจากการหยอดข้าวกลับไปต้มเหล้า เรียกชายหนุ่มและหญิงสาวที่ปักหลุมและหยอดข้าวแรกมาดื่มด้วย พร้อมกับขอเชิญผู้เฒ่าผู้หนึ่งมาทำพิธีรินหัวเหล้าและอธิฐานขอพรจากเทพยดา ให้ลงมาดื่มหัวเหล้าและมาโปรดให้ข้าวเจริญงอกงามดี พิธีกรรมนี้เรียกว่า “พิธีกินเชื้อข้าว”
การเก็บเกี่ยว
หลังจากหยอดข้าวแล้ว เจ้าของต้องดายหญ้าประมาณ 3 รอบ รอบแรกในเดือนกรกฎาคม รอบที่ 2 เดือนสิงหาคม ในรอบแรกและรอบที่ 2 มักจะต้องทำต่อเนื่องกัน เพราะวัชพืชโตเร็ว และต้นข้าวยังเล็ก รอบที่ 3 เดือนกันยายน เป็นการดายหญ้าเฉพาะวัชพืชต้นใหญ่ เพราะช่วงนี้ต้นข้าวสูงมากแล้ว รอบนี้จึงทำได้เร็ว
ข้าวไร่จะสุกประมาณปลายเดือนตุลาคม ชาวบ้านจะทำการเก็บเกี่ยว ในอดีตการเกี่ยวข้าวและตีข้าวจะเป็นการลงแขกเกี่ยวข้าว หลังจากการเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เจ้าของไร่จะรวบรวมข้าวด้วยการแบกข้าว การแบกจะกองมัดข้าวในเสื่อลำแพนที่เตรียมช่วงเดือนกันยายน แล้วแบกไปกองรวมกัน
ไร่ข้าว
เมื่อกองข้าวเสร็จแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านจะไปตีข้าว ระหว่างการตีข้าวจะมีการร้องเพลงโต้ตอบระหว่างหนุ่มสาว ในพื้นที่ที่ไม่ได้นับถือเพอเจะจะมีการกินเหล้า ช่วงการเก็บเกี่ยวในอดีตจึงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข สนุกสนาน
สำหรับข้าวนา ตามปกติใช้ควายนวด ชาวบ้านจะไปที่ลานข้าวเหมือนการตีข้าวไร่ แต่กิจกรรมมีน้อยกว่า
ปัจจุบันการลงแขกเกี่ยวข้าวและตีข้าวหายไปหมดแล้ว การตีข้าวเริ่มเปลี่ยนการใช้รถตีข้าวแทน
หลังจากตีข้าวเสร็จจะเก็บข้าวเข้ายุ้ง ก่อนเก็บข้าวจะทำพิธีขอบคุณกับพิบุ๊โยที่ช่วยคุ้มครองและดูแลต้นข้าวมาทั้งปี เจ้าของไร่จะจัดดอกไม้ อาหาร เช่น มันเทศ มันสำปะหลัง ใส่ในตระกร้า เพื่อเลี้ยงพิบุ๊โยบนยุ้งข้าวที่ยังไม่มุงหลังคาและเชิญพิบุ๊โยกลับคืนสวรรค์ ในช่วงพิธีขอบคุณ เจ้าของไร่จะอธิษฐานล่วงหน้าให้พิบุ๊โยได้กลับมาคุ้มครองในฤดูการผลิตต่อไป
หมายเหตุ
(1) คัดลอกและเรียบเรียง จากหนังสือ เกษตรกรรมยั่งยืน วิถีเกษตรเพื่อความเป็นไท ; สมัชชาเกษตรกรรมทางเลือกครั้งที่ 3; มหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืน: ฟื้นฟูวิถีชีวิตไท เพื่ออธิปไตยของชาติ.
(2) คัดลอกและเรียบเรียง จากหนังสือ รูปแบบและเทคนิคเกษตรยั่งยืน : องค์ความรู้และประสบการณ์จากเกษตรกรในพื้นที่โครงการนำร่องเพื่อพัฒนา เกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย; ไพบูลย์ เฮงสุวรรณ และคณะ; สมัชชาเกษตรกรรมทางเลือกครั้งที่ 3; มหกรรมเกษตรกรรมยั่งยืน: ฟื้นฟูวิถีชีวิตไท เพื่ออธิปไตยของชาติ.
(3) ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, ภูมิปัญญานิเวศวิทยาชนพื้นเมือง ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยง ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ, กรุงเทพฯ, 2539
ป้ายคำ : เกษตรกรรมยั่งยืน